
ทายาท “สมนึกการไฟฟ้า” ที่ต่อยอดร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าสู่ “Hub Lighting” ที่มั่นคงกว่าเดิม
หากเอ่ยชื่อ “สมนึกการไฟฟ้า” ชาวเชียงรายหลายคนน่าจะนึกถึงอดีตร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เก่าแก่กว่า 26 ปี และหากเอ่ยถึง “Hub Lighting” เชื่อว่าจะมีภาพของแหล่งรวมโคมไฟที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ ทั้งสองร้านนี้เติบโตมาจากจุดเริ่มต้นเดียวกันคือครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง วันนี้เราจะมาคุยกับ “คุณกิจจา จงไพบูลย์กิจ” ทายาทผู้มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจของที่บ้านให้ยืนหยัดต่อสู้กับการ disruption ได้อย่างมั่นคง

จุดเริ่มต้นของ ‘สมนึกการไฟฟ้า’
ก่อนจะมาเป็น Hub Lighting ในปัจจุบัน คุณกิจจาเล่าว่า ครอบครัวของเขาเริ่มต้นจากการเปิดร้านขายของชำ ก่อนที่จะเจอจุดเปลี่ยนในตลาดที่ทำให้ต้องเปลี่ยนธุรกิจไปขายอุปกรณ์ไฟฟ้า กลายเป็นร้าน “สมนึกการไฟฟ้า” ที่ยืนระยะมาได้กว่า 26 ปี
“คุณพ่อกับคุณแม่แต่งงานและมาขายของชำด้วยกันที่ร้านอยู่ในตลาด เก็บเงินได้ระยะหนึ่งจึงเริ่มสนใจทำธุรกิจอสังหาฯ ควบคู่ไปด้วย เป็นธุรกิจอสังหาฯ ขนาดเล็ก ซื้อที่ดินมาสร้างตึกขาย จนมาเจอวิกฤตที่เริ่มมีร้านโมเดิร์นเทรด มีนายทุนเข้ามา เราคิดว่า เราสู้เขาไม่ไหวแน่”
“จุดนั้นที่บ้านมาคิดกันว่า เรามีอาคารพาณิชย์เหลืออยู่บ้าง เราจะค้าขายอะไรดี ประกอบกันเห็นว่าหลังภาวะต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว เมืองเริ่มขยาย เลยคิดว่าจะขายอุปกรณ์ไฟฟ้า เริ่มเปิดร้านสองคูหา ขายหลอดไฟ ท่อร้อยสายไฟ โคมไฟ ตอนเปิดใหม่คุณพ่อกับคุณแม่ช่วยกันและมีแม่บ้านเพียงหนึ่งคน ทำรหัสราคาต้นทุนกันเอง ทุกอย่างเป็นระบบทำมือ หลังเปิดไป 7 ปีก็ขยายร้านเพิ่มเป็นสามคูหา เริ่มซื้อที่ดินฝั่งตรงข้ามทำที่จอดรถและที่เก็บสต็อกสินค้า ค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ"

เจอ Disruption ที่ทำให้ต้องปรับตัวอีกครั้ง
หลังทำธุรกิจขายอุปกรณ์ไฟฟ้ามา 10 กว่าปี ครอบครัวของคุณกิจจาก็เผชิญกับการมีนายทุนใหญ่มาเป็นคู่แข่งการตลาดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ครอบครัวของเขาไม่เปลี่ยนธุรกิจหนี แต่เลือกที่จะลงแข่งในสนามนี้ต่อไป
“ตอนนั้นเราเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปีสาม คุณพ่อกับคุณแม่คิดว่า ถ้าลูกๆ จะกลับมาทำต่อ น่าจะช่วยพัฒนาระบบหลังบ้านให้มั่นคงขึ้นได้ ช่วงนั้นมีพี่สาวและพี่ชายมาช่วยที่บ้านแล้ว ยอดขายดี หน้าร้านยุ่ง แต่ระบบหลังบ้านยังไม่เติบโตนัก เราก็คิดว่าจะช่วยอย่างไร เลยเริ่มคิด business model ให้ธุรกิจที่บ้าน ประกอบกับจังหวะที่เริ่มมีร้านขายวัสดุก่อสร้าง ในรูปแบบโมเดิร์นเทรดเข้ามา ก็ถึงจุดเปลี่ยนอีกว่าเราจะไปต่อไหม ถ้าจะไปต่อก็ต้อง scale up”
“เราเลือกแล้วว่าครั้งนี้เราจะสู้ต่อ เราเริ่มด้วยการไปดูตัวอย่างที่อื่นที่โดน disrupt มาก่อน ไปดูว่าเขารับมืออย่างไร เปลี่ยนทำเลไปสร้างร้านขนาดใหญ่ขึ้นอยู่นอกเมือง ใจคิดว่าถ้าจะสู้กับโมเดิร์นเทรดก็ต้องทุ่มหมดหน้าตัก ขายทรัพย์สินที่มี เพื่อนำมาลงทุน เหลือไว้เพียง ร้านสมนึกการไฟฟ้า เราซื้อที่ดินและเร่งก่อสร้าง จนร้านแล้วเสร็จ หลังเราเรียนจบได้ไม่กี่เดือน ร้านเปิดใหม่เราเลือกใช้ชื่อใหม่ว่า “Hub Lighting” เพราะคิดว่า ถ้าเราอยากเติบโตข้ามจังหวัด มันไปได้ง่ายกว่า”

เรียนรู้และค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับ “Hub Lighting”
หลังเรียนจบ คุณกิจจาไปทำงานข้างนอกมาเกือบปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้ด้าน Lighting ก่อนกลับมาทำที่บ้านอย่างเต็มตัว คุณกิจจาค่อยๆ เรียนรู้การทำธุรกิจอย่างเป็นลำดับ จากจุดเริ่มต้นที่ยังไม่เชี่ยวชาญ ไปถึงการเริ่มมีแบรนด์ของตัวเอง และนำไปสู่การวางระบบที่ทำให้คนอื่นทำแทนได้ ทำให้เจ้าของกิจการสามารถถอยมามองเชิงระบบได้มากขึ้น
“ช่วงแรก เราเริ่มต้นด้วยการไม่รู้อะไรเลย มีเพียงหลักการในการทำร้าน มีพนักงานสิบคน เราไปเดินขายเอง ไปแจกนามบัตร มีระบบ POS แต่อย่างอื่นลงมือทำเองหมด ใช้ระยะเวลาประมาณสามปีในการตั้งไข่ สะสมทุน”
มาช่วงที่สอง เราเริ่มทำแบรนด์โคมโฟของตัวเอง จ้างโรงงานผลิตให้ เราตั้งใจให้ลูกค้าได้มีตัวเลือกสินค้าที่หลากหลาย มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร เป็นแต้มต่อให้เราแตกต่างจากคนอื่น เรายอมลงทุนสต๊อกของเพิ่ม ถือเป็นการลงทุนทำการตลาดด้วย อย่างน้อยถ้าคนจะทำบ้านก็ต้องนึกถึงเรา แวะมาดูสินค้าที่เรา”
“ช่วงที่สาม เราเริ่มวางระบบให้คนอื่นทำแทนเราได้ เพราะเราเริ่มคิดว่า เมืองมันขยาย อาจจะต้องขยายสาขาเพิ่ม เลยไปหาทำเลใหม่ อยู่ทางตอนบนของเชียงราย เปิดสาขาโดยเจ้าของร้านไม่ได้คุมเอง ให้ผู้จัดการมาคุมโดยใช้ระบบงานเดิม ตอนนี้เปิดมาเข้าปีที่สี่ เริ่มมีจุดคุ้มทุนแล้ว โดยที่เราไม่ได้ใช้เวลากับมันเลย เราให้คนที่ไว้ใจอยู่ที่ร้านและใช้ระบบเข้าไปทำงาน เราค่อยๆ ถอยออกมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายให้พนักงานอยู่เอง ทุกวันนี้เราทำระบบหลังบ้านอย่างเดียว”





‘มีตัวเลือกให้ลูกค้าเสมอ’ คือมรดกจากสมนึกการไฟฟ้าที่ Hub Lighting ยังคงไว้
สมนึกการไฟฟ้าปิดตัวลงเมื่อปี 2567 ปัจจุบัน Hub Lighting เปิดดำเนินการ 2 สาขา แม้จะเป็นธุรกิจในชื่อใหม่ที่ต่างไป แต่แกนหลักที่ยังคงสานต่อจากร้านเดิม คือ การมีตัวเลือกให้ลูกค้าเสมอ มองในมุมของลูกค้าเป็นหลัก แม้จะต้องเพิ่มการสต๊อกสินค้าบ้างก็ตาม
“นอกจากระบบที่พัฒนาขึ้นให้ดีกว่าเดิม สิ่งที่เป็น Legacy ของสมนึกที่ยังคงมีอยู่ใน Hub Lighting คือ แนวคิดต่อการขายของให้ลูกค้า มีสินค้าที่ลูกค้าต้องการ มีของที่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ แม้ว่าทั้งปีเราจะขายสินค้าชิ้นนั้นได้เพียงไม่กี่ชิ้น เราก็ยังคงเก็บสต็อกไว้ เพราะเราเน้นการมีความหลากหลายให้คนได้เลือก เรามองลูกค้าเป็นหลัก แม้เราจะแบกต้นทุนในบางรายการ แต่เราถือว่าเป็นการลงทุนด้านการตลาด ให้ลูกค้านึกถึงเรา”

“โฟกัสที่ลูกค้า ไม่ใช่คู่แข่ง” คือหลักในการรับมือเมื่อลงสนามการค้าของ Hub Lighting
“เวลามีแบรนด์ใหญ่ๆ มาเป็นคู่แข่ง สิ่งที่เราทำได้คือ โฟกัสงานที่เราทำ เราไปเรียนรู้จากเขาได้ แต่เราต้องไม่เลียนแบบเขา อย่าไปมองเขาตลอดเวลา เพราะเราจะเป็นผู้ตาม ถ้าเรามัวแต่มองคู่แข่ง เราจะหลุดโฟกัส เราจะลืมลูกค้าที่เรามีอยู่ เราควรโฟกัสที่ลูกค้าของเราว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างไร และเราจะทำอย่างไรให้ตอบโจทย์”
“คนที่จะให้เงินเราไม่ใช่ลูกแข่ง แต่คือลูกค้าของเรา เราบริการดีไหม เราทำการบ้านเรื่องราคาดีหรือยัง ทำเลเราดีหรือยัง เซลล์เราทำงานเร็วพอไหม ถ้ายังไม่ครบ ก็พัฒนาให้ดีกว่าเดิม ให้หมกมุ่นกับลูกค้าไม่ใช่หมกมุ่นกับคู่แข่ง เพราะถ้ามองแต่คู่แข่ง เราจะตามหลังเขาอยู่ตลอดเวลา”

มองหาคนกลางช่วยสร้างความเข้าใจในครอบครัว
คุณกิจจายอมรับว่า การทำงานร่วมกับคนในครอบครัวนั้นมีความขัดแย้งอยู่บ่อยครั้ง เขาเลือกใช้คนนอกมาเป็นตัวช่วยในการสร้างความเข้าใจระหว่างกัน แม้ไม่อาจทำให้ปัญหาทั้งหมดคลี่คลายไปได้ แต่ต้องยอมรับว่า การมีคนกลางที่เป็นผู้เชี่ยวชาญมาช่วยนั้นสร้างความเข้าใจในมุมที่แตกต่าง ทำให้ช่วยลดปัญหาจุกจิกลงไปได้เยอะทีเดียว
“ทำงานกับพี่น้องมีทะเลาะกันเยอะมาก จนต้องจ้างนักจิตวิทยาครอบครัวมาช่วยคุย เราและที่บ้านลงทุนเข้าเรียนกับเขาเลย แม้ค่าใช้จ่ายจะสูงมากก็ตาม ปัญหาก่อนหน้านี้คือการไม่มีระบบงาน และการมีคำนิยามของการเป็นเจ้าของธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน คนหนึ่งมองว่าการเป็นเจ้าของคือการหาทางพัฒนาระบบให้ดีขึ้น ขณะที่อีกคนคิดว่า การเข้ามาทำงานให้เป็นกิจวัตรก็เพียงพอแล้ว เรียกว่ารูปแบบการทำงานแตกต่างกัน มีทั้งคนที่มุ่งมั่นและคนที่ปล่อยสบายๆ”
“นักจิตวิทยาทำให้เราเจอวิธีที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันมันดีขึ้น ให้เรามองว่าพี่น้องเป็นเพื่อนร่วมงานที่มีรูปแบบการทำงานแตกต่างกัน และเราต้องมีวิธีรับมือกับเพื่อนร่วมงานแต่ละคน ถ้าเรามองด้วยแว่นของพี่น้อง เราจะตัดสินเขาตลอด มีนักจิตวิทยามาช่วยมันก็ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น ช่วยให้เราและเค้าเข้าใจกันมากขึ้น มองในมุมของอีกคนมากขึ้น ไม่ได้ถึงกับทำงานแล้วไม่ทะเลาะกันเลย แต่มันช่วยลดปัญหาในแต่ละวันให้น้อยลงได้”
“ จากวันที่เริ่มเปิดร้านจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านมากว่า 9 ปีแล้ว เราและครอบครัวผ่านอะไรกันมามาก ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และเรียนรู้ในธุรกิจของเราอย่างถ่องแท้ เราพร้อมแล้วที่จะก้าวต่ออย่างมั่นคงไปพร้อมๆกัน ด้วยความตื่นเต้น ความสนุก และความตั้งใจอย่างถึงที่สุด ที่อยากจะบริการลูกค้าของเราให้ดียิ่งๆขึ้นไป”