ทายาท ‘ซอสพริกโกศล’ จากสังเวียนเทควันโด สู่การขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัว

ทายาท ‘ซอสพริกโกศล’ จากสังเวียนเทควันโด สู่การขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัว

ทำที่บ้าน

กว่า 70 ปี ที่ ‘ซอสพริกโกศล’ ยืนหยัดเป็นหนึ่งในตำนานความอร่อยคู่เมืองชลบุรี ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ที่ครองใจคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวจนกลายเป็นของฝากขึ้นชื่อ ปัจจุบันตำนานบทนี้กำลังถูกขับเคลื่อนโดยทายาทรุ่นใหม่ “คุณกฤษ คงชยาสุขวัฒน์” อดีตนักกีฬาเทควันโดผู้ผันตัวมาสานต่อกิจการของครอบครัว

จากเด็กที่เติบโตมาในโรงงาน สู่การใช้ชีวิตในโรงเรียนกีฬาจังหวัดอ่างทอง ก่อนจะก้าวเข้ามาในโลกของธุรกิจครอบครัว เขาค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นสังเวียนกีฬาหรือสังเวียนธุรกิจ กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจาก ‘วินัย’

จุดเริ่มต้นของ ‘ซอสพริกโกศล’

บรรพบุรุษของคุณกฤษเป็นครอบครัวชาวจีนที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย อาศัยอยู่ในชุมชนคนจีนในจังหวัดชลบุรี ด้วยความรู้ดั้งเดิมด้านการถนอมอาหารและการหมักดอง นอกจากทำกินกันเองแล้วยังแบ่งปันให้คนในชุมชน จนเพื่อนบ้านชื่นชอบในรสชาติและแนะนำให้ลองทำขาย

อากงอาม่าลองทำขายหลายอย่าง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ค้นพบในภายหลังว่า ซอสพริกเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด ก่อนจะเริ่มทำโรงงานซอสพริกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

“เมื่อก่อนอากงอาม่าทำหอยเสียบ หอยดองน้ำปลา ทำหลายอย่าง ขนขึ้นรถจักรยานมาปั่นขาย ขายไปสักพักเห็นว่า ซอสพริกขายดีกว่าสินค้าอื่นๆ ก็เลยเลือกทำซอสพริกเป็นหลัก ค่อยๆ ขยับขยายไปสู่ห้องแถว ก่อนไปทำโรงงานที่อยู่นอกเขตชุมชน โรงงานปัจจุบันนี้มีอายุได้เกือบ 40 ปีแล้ว ส่วนชื่อแบรนด์ ด้วยความที่ไม่อยากใช้ชื่อซ้ำกับเจ้าอื่น เลยเลือกใช้ชื่ออากง เป็นซอสพริกโกศลจนถึงทุกวันนี้”

เติบโตอยู่ในโรงงานซอสพริก

คุณกฤษคุ้นเคยกับโรงงานทำซอสพริกเป็นอย่างดี เพราะไม่เพียงแค่เป็นที่ทำงานของครอบครัวเท่านั้น แต่เขายังอาศัยอยู่ภายในโรงงานด้วย เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เฝ้าโรงงาน คุณกฤษเอง แม้จะยังเป็นเด็ก ก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ช่วยเหลืองานในโรงงานด้วยเช่นกัน

“เราเป็นเด็กที่ลืมตาที่โรงงานเลยก็ว่าได้ เพราะป๊ากับแม่ถูกส่งมานอนเฝ้าโรงงาน ในการทำซอสพริก ที่โรงงานจะซื้อพริกจำนวนมากมานึ่ง จากนั้นจะมีน้ำที่เหลือจากการนึ่งเจิ่งนองอยู่ที่พื้น จำได้ว่า คุณลุงที่สนิทกันเขาซื้อรองเท้าบูทเด็กกับไม้รีดน้ำให้เราหนึ่งอัน ให้เราไปรีดน้ำและวิ่งเล่นในลานที่เขานึ่งพริกกันนี่แหละ เรารู้ขั้นตอนของการทำซอสพริก แต่อาจจะยังไม่ลงลึกว่ามีรายละเอียดอะไรบ้างที่ต้องใส่ใจ เป็นการช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างนั่งรถไปส่งของด้วยกัน อะไรแบบนี้”

จากสังเวียนเทควันโด สู่รั้วมหาวิทยาลัย

ช่วงมัธยม คุณกฤษพบว่าตนเองมีพรสวรรค์ด้านการเล่นกีฬา โดยเฉพาะเทควันโด ครอบครัวจึงสนับสนุนด้วยการส่งไปเรียนโรงเรียนประจำสำหรับนักกีฬาโดยเฉพาะที่จังหวัดอ่างทอง ตลอดระยะเวลาสามปีที่นั่น คุณกฤษได้เรียนรู้ชีวิตผ่านประสบการณ์หลากหลายที่ช่วยให้เขาเติบโตมาอย่างแข็งแกร่ง

“ช่วงชีวิตนั้นได้เจอเพื่อนจากร้อยพ่อพันแม่ สอนประสบการณ์ชีวิตเยอะมาก ได้เรียนรู้สู้ชีวิต เราเรียนและทำงานด้วย เป็นทั้งนักกีฬาและกรรมการตัดสิน ได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่าง พอถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราเลือกเรียนสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาลัยการบริหารและจัดการ (ชื่อเดิมปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “คณะบริหารธุรกิจ”) โดยใช้โควตานักกีฬาสอบเข้ามา”

บทพิสูจน์ทายาท เมื่อตำราไม่เหมือนหน้างาน

หลังจากเรียนจบ คุณกฤษมีโอกาสไปฝึกงานข้างนอกอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะกลับมาช่วยงานที่บ้าน เริ่มจากการลงไปเห็นหน้างานในทุกตำแหน่ง และได้รับโจทย์ให้แก้ไขปัญหา ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำหรับเด็กจบใหม่ แต่คุณกฤษเลือกที่จะพิสูจน์ตัวเองผ่านการลงมือทำ

“พอกลับมาทำที่บ้าน ได้ลองทำหลายตำแหน่ง พอเจอปัญหาหน้างานก็จดไว้แล้วมาดูว่าจะแก้อย่างไร ตอนแรกเรามีหลักการมาเยอะ เรียนมาอย่างนั้น แต่ที่บ้านบอกเราว่า อย่าเป็นหนอนหนังสือ ปัญหาหน้างานกับในหนังสือมันไม่เหมือนกัน เขาสอนเราด้วยการให้ลงมือทำแล้วมานั่งคุยจากประสบการณ์”

สร้างระบบ สู่ตลาดโลก

เมื่อเริ่มได้รับความไว้วางใจ คุณกฤษจึงเริ่มภารกิจในการพัฒนากิจการครอบครัวอย่างเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากระบบหลังบ้าน

“ช่วงแรก เราเริ่มจากการทำระบบหลังบ้านก่อน เราสร้างระบบขึ้นมาจากวิธีการทำงานที่พนักงานทำอยู่แล้ว เราไปถามเขาแล้วมาเรียบเรียงให้เป็นคู่มือ เขาไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ทำงานเหมือนเดิมแต่เป็นระบบมากขึ้น ค่อยๆ ทำ ใช้เวลาสองสามปีกว่าจะครบ ที่บ้านไม่มีเงินให้ เราก็เขียนโครงการของบจากภาครัฐ ที่บ้านก็เห็นความตั้งใจของเรา

พอระบบหลังบ้านนิ่ง ช่วงที่สอง เราพาโรงงานไปประกวดโครงการต่างๆ พอช่วงที่สาม เราไปหาตลาดใหม่ๆ ออกตลาดต่างประเทศ อะไรที่เราไม่รู้ก็เรียนรู้เพิ่มเติม เพราะเราเชื่อว่า เรายังต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เหมือนเราตั้งเป้าหมายให้สำเร็จแล้วขยับไปเรื่อยๆ”

วิธีคิดของนักกีฬาที่นำมาใช้ในธุรกิจ

จากประสบการณ์ในสนามแข่ง คุณกฤษณ์มองว่า การลงแข่งกีฬาและการทำธุรกิจมีจุดร่วมที่นำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้

“อย่างแรกเลย ‘No pain, no gain’ ถ้าท้อ นั่งพักได้ แต่อย่านั่งนาน ให้คิดว่าผิดพลาดตรงไหน แล้วลุกขึ้นมาทำต่อ อย่างที่สอง ถ้าคิดว่าชนะ เราชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ถ้าคิดว่าแพ้ เราแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย”

“ในการทำธุรกิจ เรามองว่า ทำอย่างไรให้เราไม่ต้องยืนขายสินค้า แต่ให้สินค้ามันขายตัวเอง ตลาดมันดุเดือด เราต้องทำให้สินค้ามันแตกต่างให้ได้ เพราะมันคืออาวุธที่ทำให้ชนะคู่แข่ง การเป็นนักกีฬา คู่แข่งเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่การเป็นนักธุรกิจ ตลาดมันมีมิติมากกว่าที่เราเห็น มีอะไรที่มากกว่าตำราที่เราเรียน”

ฝากถึงทายาทธุรกิจ

“ถ้าวันนี้เข้ามาทำที่บ้านแล้ว ลองคิดดีๆ ว่าเรากลับมาทำที่บ้านด้วยจุดประสงค์อะไร การกลับมาพัฒนาที่บ้าน ทำให้เราได้เห็นมิติทั้งหมดของธุรกิจครอบครัว แน่นอนว่าต้องอาศัยความอดทนมากๆ แต่ก่อน ห้องนอนเป็นเซฟโซนของเรา เพราะพอออกจากห้อง เรารู้สึกว่าต้องทำงานตลอดเวลา แต่ตอนนี้เราตกผลึกได้ว่า เราไม่ใช่ตุ๊กตาของใคร เราต้องมีขอบเขตและมีชีวิตในแบบของตัวเอง ทำให้มันสมดุล

อีกเรื่องคือความมีวินัย ไม่ว่าจะเป็นกีฬา การเรียน การทำงาน เราว่า วินัยสำคัญกว่าการมีไฟอีกนะ ถึงมีไฟ แต่ถ้าไม่มีวินัย ก็ไปไม่ถึงเป้าหมาย สุดท้ายขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนจะตีความคำว่าวินัยของตัวเองกันอย่างไร”