ทายาทร้านทองจากสกลนคร ผู้เชื่อว่าการใช้เวลากับคนที่รักเป็นสิ่งมีค่าไม่แพ้ความสำเร็จใดๆ
สำหรับคนทำร้านทอง มูลค่าอาจวัดกันที่น้ำหนักและราคา แต่สำหรับ “คุณโอ๊ต เจษฎาภรณ์ เพชรเฟื่องฟ้า” ทายาทรุ่นที่สองแห่ง “เมืองพลอย” และ “เยาวราชดีเยี่ยม” ร้านทองชื่อดังในจังหวัดสกลนคร สิ่งที่มีค่าที่สุดกลับไม่ใช่ทองคำกองตรงหน้า แต่เป็น ‘เวลา’ และ ‘ความเข้าใจ’ ภายในครอบครัว
คอลัมน์ ConNext ชวนมาถอดบทเรียนการทำธุรกิจครอบครัวตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ จากความขัดแย้งของคนสองวัย สู่การเรียนรู้ที่จะประนีประนอม เพื่อรักษาทั้งกิจการและความสัมพันธ์ให้เติบโตไปพร้อมกัน

จุดเริ่มธุรกิจร้านขายทอง
แรกเริ่มเดิมที ต้นตระกูลของคุณโอ๊ตทำธุรกิจร้านนาฬิกาและแว่นตา คุณพ่อมีพี่น้องหลายคน จึงแตกกิจการออกมาอีกหลายร้าน ตั้งอยู่ในหลายพิกัดทั่วจังหวัดสกลนคร คุณพ่อของคุณโอ๊ตช่วยกิจการของที่บ้านอยู่สักพัก และเห็นว่า ร้านนาฬิกาและแว่นตามีการแข่งขันค่อนข้างสูง จึงเริ่มมองหาช่องทางใหม่ๆ จนมีโอกาสได้รู้จักกับเจ้าของกิจการร้านทองที่จังหวัดมหาสารคาม ผู้ซึ่งคุณพ่อของคุณโอ๊ตถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ เพราะเขาช่วยให้ความรู้และคำแนะนำจนคุณพ่อตัดสินใจเปิดร้านทองของตนเองขึ้นมา จากร้านสาขาแรกสู่ร้านสาขาที่เจ็ดในปัจจุบัน โดยมีคุณโอ๊ตเป็นทายาทรุ่นที่สองของร้านขายทอง ‘เมืองพลอย’ และ ‘เยาวราชดีเยี่ยม’
“ตอนแรกพ่อก็ไม่มั่นใจที่จะออกจาก comfort zone เลยทำพร้อมกันทั้งร้านแว่นและร้านทอง แต่สมัยนั้นร้านทองมีน้อยกว่า และเทียบกันแล้วร้านทองขายดีกว่า พ่อจึงมาโฟกัสที่ร้านทองแล้วเลิกทำกิจการร้านแว่น จากหนึ่งห้อง สองห้อง สามห้อง กลายเป็นเจ็ดสาขาในทุกวันนี้ มองย้อนกลับไป เราคิดว่า พ่อก็ตัดสินใจถูกนะ”

เติบโตมากับความสุขและความเศร้าในร้านทอง
คุณโอ๊ตเติบโตมาในช่วงที่คุณพ่อทำร้านทองเป็นธุรกิจหลัก จึงมีโอกาสคลุกคลีกับบรรยากาศของการขายทอง ได้เห็นเรื่องราวที่หลากหลายจากลูกค้าในหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นความสุขจากการมาเลือกซื้อทองเป็นของขวัญให้คนที่รัก ความซาบซึ้งยินดีของปู่ย่าที่ลูกหลานซื้อทองให้ ไปจนถึงความรู้สึกเศร้าเสียดายเพราะความจำเป็นที่ต้องขายทองจากความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน
“เราค้าขายมาตั้งแต่เด็กจนโต อยู่กับพ่อแม่มาตลอด เราได้เห็น ได้ซึมซับวิถีชีวิต และเข้าใจลูกค้า เพราะได้เห็นทั้งตอนที่ลูกค้ามีความสุขตอนมาซื้อของขวัญให้คนที่รัก มีภาพปู่ย่าที่ลูกหลานพามาซื้อทองช่วงเทศกาลปีใหม่ หรือลูกค้าหลายคนที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินก็ยอมถอดสร้อยออกมาขาย บ้างเป็นมรดกตกทอดมา บ้างเป็นของหมั้น เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ เรียกว่า ได้เห็นหลากหลายอารมณ์ของลูกค้าเลย”

เหตุผลที่กลับมาทำที่บ้าน แม้จะยากในทุกมิติ
“ลึกๆ แล้ว เราอยากกลับมาช่วยเขาอยู่แล้ว เรามีพี่น้องสามคน พี่สาวแต่งงานมีครอบครัว น้องชายก็มีวิถีชีวิตในแบบของตัวเองอยู่ จังหวะนี้เลยคิดว่า คงต้องเป็นเรานี่แหละที่จะมาช่วย มาดูแลพ่อแม่ แต่พอกลับมาก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เราอยากช่วย อยากเปลี่ยนแปลงให้มันดีขึ้น แต่มันก็ติดขัดไปหมด เขาไม่เห็นด้วยบ้าง เขาไม่ชอบใจกับวิธีการทำงานของเราบ้าง ค่อนข้างยากในทุกมิติเลย เราทำที่บ้านมาได้สิบกว่าปีก็รู้สึกว่า มันย่ำอยู่กับที่ เรามองว่ามันยังเติบโตค่อนข้างช้า จากสาขาแรกไปสาขาที่สอง เราใช้เวลาเกือบ 20 ปี แต่จากสาขาสองไปสาขาอื่นๆ ที่ตามมา เริ่มใช้เวลาสั้นลงมาก เหลือสองสามปี ถือว่า ความติดขัดที่เคยมี ปัจจุบันถือว่าดีขึ้นมากแล้ว”

อย่าสู้ในสงครามที่ไม่ชนะ
คุณโอ๊ตบอกว่า เขาเคยได้ยินวลีที่ว่า “อย่าสู้ในสงครามที่ไม่ชนะ” มาก่อน แต่มาเริ่มเห็นด้วยและเข้าใจอย่างแท้จริงเมื่อได้กลับมาทำที่บ้านนี่เอง การทำงานกับพ่อแม่ ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะลดทอนความต้องการของตนเองลง หาจุดสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่าย เพื่อให้งานและความสัมพันธ์ยังคงดำเนินต่อไปได้แบบไม่สั่นคลอน
“ตอนสิบปีแรกที่กลับมาทำ ทะเลาะกันเยอะมาก จนเรารู้ว่า ทะเลาะไปก็ไม่ชนะอยู่ดี จึงเลือกวิธีประนีประนอมแทน ยอมให้พ่อแม่เจอจุดที่เขาพอใจ และเขาจะยอมฟังเรามากขึ้น แต่ก่อนเราอาจจะอยากใช้วิธีการของเราให้สุดทาง แต่พ่อแม่ก็อยากให้ผ่อนลงมาหน่อย ก็เจอกันตรงกลาง ไม่มีใครได้ทุกอย่าง มันก็ขัดใจกันบ้าง แต่เราก็ต้องยอมเขาเพราะไม่อยากขุ่นใจกัน เกิดปัญหาแล้วเรามาช่วยกันแก้ทีหลังได้ แต่เราเลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์กับครอบครัวไว้ก่อน”
‘ขอบคุณ’ และ ‘ขอโทษ’ สองคำที่ช่วยทำให้ความสัมพันธ์แข็งแรง
จากประสบการณ์ในการทำที่บ้านมามากกว่า 10 ปี คุณโอ๊ตมองว่า การสะท้อนความรู้สึกกันอย่างตรงไปตรงมา เป็นเครื่องมือที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในทุกความสัมพันธ์
“เราอยู่เบื้องหลังการค้าขายหลายๆ ครั้งที่ประสบความสำเร็จ แต่เราไม่เคยได้ยินคำชมจากปากพ่อแม่เลย คำชมจะมาจากคนอื่น เพื่อนของพ่อแม่บ้าง ญาติพี่น้องบ้าง มักจะเป็นบุคคลภายนอกที่ส่งต่อข้อความนั้นมาให้เราอีกที เรามองว่า คำขอบคุณ คำขอโทษ มีความสำคัญกับความสัมพันธ์มากนะ ถ้าพ่อแม่รู้ว่าอันไหนดีก็ต้องชม อันไหนไม่ดีก็ต้องยอมรับ ต่างฝ่ายต่างยอมรับซึ่งกันและกัน จะทำให้ความสัมพันธ์มันดีขึ้นและง่ายขึ้นเลยในทุกเรื่อง ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเหลิง มันเป็นเหมือนเป็นการสะท้อนความรู้สึกระหว่างกันมากกว่า”
‘วินัย’ และ ‘ความหนักแน่น’ คือสิ่งที่เรียนรู้จากพ่อ
“พ่อเป็นคนอนุรักษนิยมพอสมควร จะขยับทำอะไรแต่ละก้าว ค่อนข้างใช้เวลาจนกว่าจะมั่นใจว่าจะปลอดภัยจริงๆ อย่างสาขาที่สองกว่าจะเกิดได้ ห่างจากสาขาแรกเป็น 20 ปี แม้มันจะเติบโตช้าในมุมของเรา แต่ก็ต้องยอมรับว่า ข้อดีของการเป็นคนอนุรักษนิยมก็มี เช่น ความมีวินัย ความประหยัดมัธยัสถ์ของพ่อ ไม่ใช้เงินกับสิ่งฟุ่มเฟือย แต่จะใช้เงินกับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนงอกเงยมั่นคง
จากสถานการณ์ราคาทองล่าสุด เราต้องขอบคุณความมีวินัยและหนักแน่นของพ่อ ช่วงที่ราคาทองขึ้นมาเยอะ หลายร้านขายทองทิ้งเพื่อทำกำไร แต่พ่อยังคงหนักแน่นกับวินัยทางการทำงานของตัวเอง มีสัดส่วนที่แบ่งแยกชัดเจน ไม่หลงไปกับความขึ้นลงของตลาด ทำให้ทุกวันนี้ธุรกิจเราแข็งแรงมั่นคง ถ้าเราขายทองตอนราคามันขึ้น ตอนนี้เราคงเหลือแต่กำมะหยี่แล้ว เพราะซื้อกลับแล้วมันขาดทุน ตรงนี้ต้องขอบคุณพ่อจริงๆ ”
บทเรียนจากประสบการณ์ของคนอื่นช่วยประหยัดเวลาของเราได้
ช่วงที่คุณโอ๊ตรู้สึกว่า ธุรกิจย่ำอยู่กับที่ ไม่เติบโตเท่าที่ควร ทำให้คุณโอ๊ตออกมาหาประสบการณ์และความรู้เพิ่มเติมที่จะช่วยลับคมในการทำธุรกิจของเขาให้เฉียบแหลมมากยิ่งขึ้น เป็นจังหวะที่ทำให้เขาได้รับฟังเรื่องราวและเทคนิคต่างๆ จากรุ่นพี่ที่ลงสนามการทำธุรกิจที่บ้านมาก่อน ช่วยเปิดมุมมองและเพิ่มวิธีการที่ช่วยให้การทำที่บ้านของคุณโอ๊ตสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“ตอนแรกเราก็มุทะลุเหมือนกันนะ ไม่ยอมอ่อนข้อ แต่พอเราออกมาหาความรู้เพิ่มเติม ได้ฟังประสบการณ์จากรุ่นพี่มากขึ้น เราก็เรียนรู้ที่จะประนีประนอมมากขึ้น บวกกับพอเวลาผ่านไป ทั้งเราและพ่อแม่ก็อายุมากขึ้น เราเริ่มใส่ใจดูแลเขามากขึ้น แต่กว่าจะถึงวันนี้ เราใช้เวลาเป็นสิบปี ซึ่งนานไปหน่อย พอเราได้มาเข้าเวิร์กชอป The Dots ของ SCB ทำให้เราได้เรียนรู้เยอะขึ้นมาก มีเทคนิควิธีที่ฟังแล้วกระตุกใจเรา ให้เรามาลองประยุกต์ใช้กับครอบครัวตัวเอง แบบไม่ต้องเสียเวลารอนานขนาดนั้นเลย”
“ที่เราประทับใจมากจากงาน The Dots คือกรณีศึกษาของทายาทคนหนึ่งที่เติบโตมากับคุณพ่อที่ดุมาก เขาเสียดายเวลาที่จะได้มีช่วงเวลาดีๆ กับพ่อ จึงเลือกเข้าหาคุณพ่อของเขาด้วยการกอด แต่คุณพ่อผลักเขาออก เพราะไม่คุ้นชินกับการแสดงความรู้สึกแบบนี้ แม้จะเสียใจที่ได้รับปฏิกิริยาแบบนั้นกลับมา แต่ทายาทคนนี้เลือกทำแบบนี้ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ กอดคุณพ่อบ่อยๆ จนคุณพ่อเริ่มกอดกลับ จนสุดท้ายการกอดกันกลายเป็นกิจวัตรที่ต้องทำก่อนออกจากบ้าน เราว่าเราจะลองมาใช้กับที่บ้านเราดูบ้าง เพราะไม่อยากให้เวลามันล่วงเลยไปมากกว่านี้”
เป้าหมายเดียวในใจ คืออยากให้พ่อแม่เชื่อมั่นและไว้ใจ
เมื่อถามว่า เป้าหมายในการกลับมาทำที่บ้านของคุณโอ๊ตคืออะไร คำตอบไม่ใช่การเติบโตแบบก้าวกระโดด การเป็นเจ้าตลาดร้านทอง หรือยอดกำไรเพิ่มขึ้นที่วัดเป็นตัวเลขได้ แต่สิ่งที่คุณโอ๊ตต้องการคือ ความเชื่อมั่นและความไว้ใจจากพ่อแม่ว่าเขาสามารถสานต่อธุรกิจที่พ่อกับแม่สร้างมากับมือได้อย่างภาคภูมิใจ เป็นที่พึ่งพิงอันมั่นคงแข็งแรงให้กับครอบครัวได้ในอนาคต
“เราอยากทำให้เขาเห็นว่า สิ่งที่เขาสร้างและส่งต่อให้เรา เราทำให้เขาภูมิใจได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้เขายอมรับและเชื่อมั่นว่า จะฝากฝังธุรกิจไว้ที่เราได้ ไว้ใจเราว่าจะเป็นผู้นำที่ดูแลพี่น้องได้ด้วย เขาจะได้หมดห่วง อยากเห็นเขาสบายใจ แค่นั้นเลย”

ฝากถึงทายาท ‘ทำที่บ้าน’
“สมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งของคนที่กลับมาทำธุรกิจที่บ้าน คือการได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เป็นเรื่องสำคัญที่หลายบ้านหลงลืมหรือมองข้ามไป จริงอยู่ที่การทำธุรกิจที่บ้านทำให้เราต้องเฝ้าร้านเป็นหลัก แต่ถ้าเราลองหาวิธีวางระบบการทำงานดีๆ ให้เราเชื่อมั่นและไว้ใจระบบได้ก็ดีกว่านะ ทำให้เรามีเวลาไปเที่ยวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว ได้ทำอะไรที่เราจะไม่เสียดายทีหลังเมื่อเวลาผ่านไป ชีวิตเป็นเรื่องไม่แน่ไม่นอน การได้ใช้เวลากับคนที่รักจึงเป็นเรื่องที่มีค่าจริงๆ ”