
ทายาทปัตตานี ฟิชชิ่ง กับการเดินทางกลับบ้านเพื่อหาความหมายของชีวิตและรักษาภูมิปัญญาของครอบครัว
"ปัตตานีฟิชชิ่ง" คือร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเล็กๆ ในจังหวัดที่มีท่าเรือใหญ่ที่สุดในประเทศอย่างปัตตานี แม้การก่อตั้งในรุ่นคุณแม่จะทำให้ร้านเป็นที่รู้จักสำหรับคนในพื้นที่อย่างดี ทว่าเมื่อยุคที่ใครๆ ก็ขายออนไลน์ได้มาถึง ธุรกิจดั้งเดิมก็ต้องเผชิญความท้าทายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ในช่วงเวลาเดียวกัน "นัตตี้ - ณัฐธิดา เกียรติสกุลเลิศ" ทายาทร้าน ปัตตานีฟิชชิ่ง ซึ่งมีอายุ 28 ปี ก็กำลังเจอจุดเปลี่ยนในชีวิตการทำงานด้าน Digital Marketing ที่กรุงเทพฯ เมื่อเธอเริ่มรู้สึกว่าการทุ่มเทให้กับงานสุดตัว ทำให้เธอกำลังหลงลืมความหมายบางอย่างของชีวิตไป
วิกฤตครั้งนั้นพาเธอมาค้นพบว่า สิ่งสำคัญในชีวิตมีเพียงสามอย่าง คือ "สุขภาพที่แข็งแรง การเงินมั่นคง และครอบครัว" และการกลับมาสานต่อธุรกิจ "ปัตตานีฟิชชิ่ง" สามารถตอบโจทย์สิ่งสำคัญทั้งสามอย่างนี้ได้ดีที่สุด
แต่การสานต่อธุรกิจครอบครัวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากต้องหาจุดแตกต่างและสร้าง Branding ในยุคดิจิทัลแล้ว การผสานความรู้สมัยใหม่เข้ากับประสบการณ์และภูมิปัญญาของพ่อแม่ รวมถึงการทำงานร่วมกันในครอบครัว ก็เป็นโจทย์สำคัญเช่นกัน
'ทำที่บ้าน' ชวนทุกคนมาอ่านเรื่องราวของหญิงสาวผู้สานต่อธุรกิจครอบครัวด้วยมุมมองของการเริ่มต้นใหม่ ที่มีความหมายและยั่งยืนกว่าเดิม



จุดเริ่มต้น “ปัตตานีฟิชชิ่ง”
ธุรกิจปัตตานีฟิชชิ่งเริ่มต้นจากคุณแม่ของเธอมีความสนใจการทำธุรกิจและตั้งใจอยากเป็นเจ้าของธุรกิจเพื่ออยากหารายได้เพิ่มเติมมาดูแลลูก คุณแม่สังเกตและสำรวจพื้นที่โดยรอบแล้วพบว่า จังหวัดปัตตานีมีท่าเรือที่ใหญ่ที่อันดับต้นๆ ของประเทศจึงเลือกจับธุรกิจที่เกี่ยวกับการประมงที่ดูเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่มากที่สุด
“แม่เริ่มใหม่หมดเลย เริ่มเรียนรู้ เดินดูว่าเขาใช้อุปกรณ์อะไร ไปตกอะไร สีอะไร ขนาดเท่าไหร่ ลูกค้าก็มาแบ่งปันข้อมูลเรื่อยๆ ร้านก็ค่อยๆ มีสินค้าเยอะขึ้น แม่ถนัดด้านการค้าอยู่แล้ว แรกเริ่มเดิมทีแม่ขายขนมจีน ขายเสื้อผ้าจนพบว่า ขายของกินมันมีวันเน่าเสีย ขายเสื้อผ้ามีวันตกเทรนด์ แต่ประมงไม่มีวันตกเทรนด์ ไม่เน่าเสีย แม่เลยเลือกทำประมง”
วิกฤต ทำให้เจอจุดเปลี่ยนในชีวิต
คุณนัตตี้เล่าว่า ตอนเด็กๆ เธอเคยมีความฝันอยากเป็นหมอ จนกระทั่งเพื่อนแนะนำให้รู้จักเส้นทางสายวรรณกรรม ศิลปะ ที่ทำให้เธอค้นพบความชอบของตนเอง จึงเปลี่ยนเส้นทางมาเรียนต่อด้านนิเทศศาสตร์ อยากทำผลงานบันเทิงให้มีคุณภาพเหมือนต่างประเทศ ท้ายที่สุด เธอค้นพบว่า สายงานโฆษณา เป็นจุดสมดุลที่เชื่อมระหว่างโลกทุนนิยมและความชอบของเธอได้ดีที่สุด โดยเธอเลือกทำงานด้าน Digital Marketing ทำสื่อโฆษณาออนไลน์ คุณนัตตี้โลดแล่นในวงการนี้อยู่ 5-6 ปี ก่อนจะพบจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องเบนเข็มอีกครั้ง
“เราทำงานจนถึงวัย 28 ที่รู้สึกว่า ชีวิตเจอวิกฤตที่ทำให้เราอยากจัดการชีวิตตัวเองใหม่ เราได้อ่านหนังสือเรื่อง Essentialism ที่พูดถึงการทิ้งสิ่งสำคัญเพื่อสิ่งสำคัญกว่า เป็นหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตเหมือนกัน หนังสือบอกว่า ชีวิตเรามีเวลาจำกัด ในหนึ่งวัน ในหนึ่งชีวิต เราไม่สามารถให้เวลาและพลังงานกับทุกสิ่งได้ มันกระตุกใจเราให้มานั่งทำการบ้านใหม่ว่า ในช่วงเวลาที่มีจำกัดนี้ อะไรสำคัญกับชีวิตเราจริงๆ จนได้เจอว่า สิ่งสำคัญในชีวิตมีสามอย่าง 1. สุขภาพที่แข็งแรง 2. การเงินมั่นคง และ 3. ครอบครัว การได้ใช้เวลากับพ่อแม่ เราให้ความสำคัญกับสามอย่างนี้ แต่ชีวิตที่กรุงเทพไม่ตอบโจทย์เราสักอย่างเลย”
วิธีตามหาสิ่งสำคัญของชีวิต
ช่วงที่เจอวิกฤตในชีวิต คุณนัตตี้เล่าว่า เหมือนชีวิตแตกสลาย และเธอมีหน้าที่ต้องก่อร่างสร้างมันขึ้นมาใหม่ เธอลองทำทุกอย่างที่อยากทำเพื่อให้รู้จักตัวเองมากขึ้น เช่น อ่านหนังสือ เดินป่า เข้า Workshop รวมถึงการปฏิบัติธรรม ที่ช่วยให้เธอมีสติรู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้น
“การปฏิบัติธรรมทำให้เราได้รู้ว่า ที่ผ่านมา เราเอาตัวตนของเราทั้งหมดมาใช้ในงาน เวลางานไม่ผ่าน เลยเหมือนมันกระทบตัวตนเราด้วย เราทุกข์เพราะเอางานกับตัวตนเข้ามาผสมกันทั้งหมด เราแยกความทุกข์ไม่ออก การได้มาปฏิบัติธรรมทำให้เรามีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง และไม่เอามาปนกัน แยกแยะอารมณ์ได้ดีขึ้น”
สถานการณ์บังคับให้กลับมา ‘ทำที่บ้าน’
“ตอนทำโฆษณา เราไม่คิดจะทำธุรกิจที่บ้านเลย คิดแค่ว่า จะช่วยทำโฆษณาออนไลน์เล็กๆ น้อยๆ แค่นั้น แต่พอมาเจอช่วง COVID-19 เป็นช่วงที่แม่บอกว่า จะขายต่อให้คนอื่น เราเลยกลับบ้านบ่อยขึ้น มาลองดูรายรับรายจ่ายที่บ้าน ลองปรับวิถีชีวิตตัวเอง และพบว่ามันตอบโจทย์สำคัญที่เราตั้งไว้ คือมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีเงิน และได้ใช้เวลากับครอบครัว ตอนแรก เราขอเวลาไปศึกษาด้านการเงินเพิ่มเติมก่อน แต่เดือนถัดมา พ่อวูบ เป็นลมในบ้าน เราเลยต้องตัดสินใจกลับมา เคยมีรุ่นพี่เราบอกไว้ว่า โอกาสจะมาตอนที่เราไม่พร้อม 100% หรอก ให้ลุยไปเลย”

สานต่อพร้อมรับโจทย์เพื่อเปลี่ยนแปลง
“แม่บอกคำเดียวว่า ห้ามทำแบบที่แม่เคยทำ ให้ทำอะไรแบบใหม่ๆ ไปเลย โจทย์เราคือ ร้านค้าปลีกขายอุปกรณ์ตกปลา เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ขายออนไลน์ได้ ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำ คือทำ Branding ให้มันแตกต่าง”
“เราใช้ข้อได้เปรียบของความเป็นคนพื้นที่ ไม่มีใครรู้จักเสน่ห์ของปัตตานีหรือลูกค้าของเราได้ดีเท่าเรา อีกอย่าง เราไม่ได้ขายแค่สินค้าเท่านั้น แต่เราช่วยหาวิธีการตกปลาที่ตอบโจทย์ลูกค้าด้วย สิ่งที่เราเข้ามาทำหลักๆ คือด้าน Branding และการนำเสนอ เรามีทำ content ลง Facebook, TikTok การบริการในร้านก็ถือเป็น content ของร้านด้วย คนตกปลาเข้าร้านเรามา เหมือนเข้าสวนสนุก เราพูดคุยแลกเปลี่ยนกับลูกค้า เราเข้าใจคนในพื้นที่ นี่คือ Branding ของเรา”
ใช้ “ระบบที่ดี” และ “การบริการอย่างใส่ใจ” ช่วยเรียกลูกค้า
ก่อนหน้านี้ ปัตตานีฟิชชิ่ง ใช้วิธีจดข้อมูลทุกอย่างลงกระดาษ จัดเก็บข้อมูลในแฟ้ม และข้อมูลหลายอย่างอยู่ในมือเจ้าของร้านเพียงอย่างเดียว ทำให้ไม่สะดวกในการจ้างคนมาทำต่อ คุณนัตตี้เห็นความสำคัญของการมีระบบเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อและเพิ่มโอกาสในการขาย เธอจึงนำระบบ POS เข้ามาใช้ จากนั้นขยายต่อไปเปิดร้านค้าออนไลน์ ซึ่งเธอใช้แต้มต่อจากประสบการณ์การทำ Digital Marketing มาช่วยเพิ่มการมองเห็นของลูกค้า และเพิ่มยอดขายให้ร้านได้ นอกจากความเป็นระบบแล้ว การบริการลูกค้าก็เป็นหัวใจสำคัญที่คุณนัตตี้ใส่ใจในรายละเอียดด้วยเช่นกัน
“เรามีแนวคิดว่า เราให้บริการลูกค้าออนไลน์เหมือนเขามาหน้าร้าน เรานำเสนอสินค้าให้ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล ถ่ายวิดีโอทุกขั้นตอน และเขียนโน้ตด้วยลายมือเราเองให้ลูกค้าทุกคน เหมือนเป็นเพื่อนกับลูกค้าเลย พอเขาประทับใจ ยอดรีวิวในออนไลน์ก็เพิ่มขึ้นไปด้วย”
วางอีโก้ลงเมื่อทำงานกับครอบครัว
การมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ในการทำงานร่วมกัน กรณีของคุณนัตตี้กับที่บ้านก็เช่นกัน แต่เธอเลือกใช้วิธีปรับมุมมอง พยายามเข้าใจและมองในมุมเดียวกับที่คุณพ่อคุณแม่มอง และวางใจให้แต่ละคนได้ทำในสิ่งที่ตนถนัด เพื่อช่วยให้ธุรกิจและความสัมพันธ์ในครอบครัวดำเนินต่อไปได้
“เราถอยตัวเองจากอีโก้เราก่อน วางตัวเองลง แล้วเข้าใจพ่อแม่จากมุมเค้า วางใจให้เขาทำ เรื่องที่เราเก่งคือดิจิทัล ทำไปเลย แต่เรื่องจัดร้าน แม่เก่ง ก็ให้แม่ทำ ใช้ทั้งประสบการณ์ของเค้าและความรู้ของเรา พอพ่อกับแม่เห็นว่าเราทำได้ เขาก็วางเลย ให้เราทำต่อเลย เชื่อใจกัน”
ฝากถึงทายาท
“อยากให้ทายาทมีความเข้าใจก่อนปรับเปลี่ยน เข้าใจพ่อแม่ เข้าใจธุรกิจ เข้าใจลูกค้า เข้าใจตัวเอง การเปลี่ยนแปลงมันดีขึ้นอยู่แล้ว แต่เราควรเข้าใจตัวเองก่อน เข้าใจพื้นฐานของสิ่งที่เราทำอยู่จริงๆ ก่อน เราถึงจะหยิบจับและลองเล่นนอกกรอบได้”