ทายาทรุ่นสาม 'Shining Gold'  กับการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส  ด้วยการหาน่านน้ำสีครามในธุรกิจทองคำ

ทายาทรุ่นสาม 'Shining Gold' กับการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยการหาน่านน้ำสีครามในธุรกิจทองคำ

ทำที่บ้าน

"กิฟท์ - วรวรรณ ตัณฑชน" อาจไม่ได้ฝันถึงการเป็นทายาทร้านทองตั้งแต่เด็ก เธอเคยอยากออกไปลองผิดลองถูกในโลกข้างนอกเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แต่คำแนะนำของพ่อที่บอกว่า "ทำที่บ้านจะโตเร็วกว่า" กลับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ จากวันนั้นถึงวันนี้ เธอได้ผ่านการเรียนรู้ทุกมุมของธุรกิจทองคำที่สืบทอดกันมายาวนาน ตั้งแต่การร้อยสร้อยจนถึงการวางระบบ ERP ตั้งแต่การขายหน้าร้านจนถึงการประสานงานกับต่างประเทศ

แต่บทเรียนที่สำคัญที่สุดของเธอ คือการมองว่า "ทุกโจทย์ปัญหาคือความท้าทายให้เราได้หาทางออก" ทัศนคติที่ทำให้เธอกล้าก้าวเข้าสู่ตลาดขายส่งทองแม้ไม่เคยมีประสบการณ์ และเลือกใช้กลยุทธ์ Blue Ocean สร้างตลาดทองแฟชั่นจนกลายเป็นจุดแข็งของ Shining Gold ที่ทำให้ลูกค้านึกถึงเป็นอันดับแรกเมื่อต้องการทองรูปแบบใหม่ๆ

'ทำที่บ้าน' ชวนอ่านเรื่องราวของทายาทสาวที่เรียนรู้จากทุกความผิดพลาด ทุกโจทย์ท้าทาย จนพบว่าการทำธุรกิจครอบครัวไม่ใช่แค่การสืบทอด แต่คือการสร้างคุณค่าใหม่บนรากฐานที่แข็งแกร่ง

จุดเริ่มต้นธุรกิจครอบครัว

เดิมที คุณพ่อของคุณกิฟท์ทำงานเป็นผู้จัดการเหมือง ส่วนคุณแม่เป็นพนักงานออฟฟิศที่เหมือง จนถึงวันที่ทั้งคู่ออกมาสร้างครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ของคุณกิฟท์เลือกทำธุรกิจร้านทอง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ครอบครัวของคุณแม่ทำมาจนคุ้นเคยและเห็นว่ายังคงทำต่อเนื่องไปได้

ครอบครัวของคุณกิฟท์จึงออกมาเปิดร้านทองของตัวเอง ใช้ชื่อร้านว่า "ห้างทองลูกสาวเจี่ยเจี้ยเชียง" ซึ่งเป็นชื่อร้านของรุ่นคุณตาคุณยาย คุณพ่อมาช่วยคุณแม่ขายทองหน้าร้านอยู่สักพักก่อนจะผันตัวไปผลิตสร้อยทองส่งขายที่ร้าน และเริ่มพัฒนาเป็นโรงงานที่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมจนถึงปัจจุบัน

วัยเด็กที่เติบโตมากับการทำงานของพ่อแม่

คุณกิฟท์เล่าว่า ตั้งแต่จำความได้ เธอก็เห็นภาพการทำงานของคุณพ่อคุณแม่มาโดยตลอด ทั้งสองท่านขยันทำงาน และในขณะเดียวกันก็ดูแลเธอและพี่สาวให้ได้รับการศึกษาที่ดีอยู่เสมอ

"ตั้งแต่เด็กจนโต เห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงานตลอด ตอนเด็กเขาให้เราช่วยร้อยสร้อยบ้าง เราก็ทำได้บ้าง ทำพังบ้าง พอโตขึ้นอีกหน่อย เขาก็ให้เราไปช่วยเก็บเงิน ทอนเงิน คิดดอกเบี้ย ช่วยงานหน้าร้าน ตอนคุณพ่อเอาทองไปจ้างที่อื่นผลิต เราก็ติดสอยห้อยตามไปด้วย คุณพ่อบอกตลอดว่า ทำงานหนักเพราะสร้างตัว ขายของเอง เลี้ยงลูกเอง เราและพี่สาวเลยโตมาแบบดูแลกันและรับผิดชอบตัวเองมาโดยตลอด"

กลับมาทำที่บ้านจะเติบโตไวกว่า

คุณกิฟท์เองก็เคยมีความคิดเหมือนทายาทหลายคนที่อยากออกไปลองสนามข้างนอก ไปลองเก็บประสบการณ์จากที่อื่นก่อน แต่คุณพ่อของเธอแนะนำว่า ทำที่บ้านจะทำให้เธอมีโอกาสเรียนรู้และเติบโตได้ไวกว่า เพราะคุณพ่อให้โอกาสและพื้นที่ให้เธอได้เรียนรู้จากการลงมือทำจริง 

“จริงๆ กิฟท์เคยคิดว่าอยากทำข้างนอกก่อน แต่ตอนนั้นคุณพ่อทำโรงงานใหม่พอดีและอยากหาคนมาช่วยแล้ว อยากให้คนในบ้านมาทำ เลยบอกให้เรากลับมาทำที่บ้านเลย เพราะถ้าไปทำข้างนอก กว่าจะเลื่อนตำแหน่งมันใช้เวลา มาเรียนรู้ได้เลยที่บ้าน ทำให้เราเติบโตได้เร็ว ลักษณะการสอนของเขาคือให้เราเรียนรู้เอง พลาดเอง ให้เวลาให้เราค่อยๆ เรียนรู้ไป” 

เรียนรู้งานในทุกหน้าที่จนเข้าใจและวางระบบเป็น

“ช่วงที่กิฟท์กลับมาทำที่บ้าน คุณพ่อดึงระบบ ERP (ระบบการผลิต) เข้ามาใช้ในฝั่งการผลิตไปแล้ว แต่ฝั่งออฟฟิศยังเป็นระบบเดิมอยู่ เขาอยากให้เราสร้างระบบบัญชี เราก็ต้องหาทางเรียนรู้ให้ได้ มันต้องมีความซนนิดนึง คลิกเล่นในระบบทุกอัน ดูว่ามันทำงานอย่างไร จะได้ไปคุยกับโปรแกรมเมอร์แล้วเรียนรู้ตรงนั้นเลย ทำไปสักพัก คุณพ่อก็โอนงานบุคคลมาให้ งานแรกคือตรวจเงินเดือนพนักงาน ตอนนั้นมีพนักงาน 100-200 คน เราต้องไปศึกษาเอง จนค่อยๆ สร้างทีมขึ้นมาทำเงินเดือนให้เป็นระบบมากขึ้น”

“งานต่อมาคืองานจัดซื้อ คุณพ่อให้ประสานงานคุยกับต่างประเทศ โดยเขาเป็นคนตัดสินใจว่าจะซื้อเครื่องจักรชิ้นไหน ส่วนที่เหลือให้เราประสานงานต่อ ทำให้เราได้เรียนรู้งานด้านโรงงานเต็มๆ ปัจจุบัน เราเข้าใจขั้นตอนของโรงงานทุกอย่างแล้ว เรารู้แล้วว่าเราจะวางระบบยังไง ให้ใครทำงานอะไร”

“ในการทำงาน คุณพ่อให้อิสระเต็มที่ เงื่อนไขเดียวคือ คุณต้องทำงาน คุณพ่อมีวินัยสูงมาก ตรงต่อเวลามาก ต้องไปถึงก่อนคนอื่น ไม่อยากให้ลูกน้องรอ ถ้าเราไปสายหน่อย เขาจะบอกให้เรามาก่อนเวลา คุณพ่อมีความรับผิดชอบสูง ทำงานหนัก ทำให้กิฟท์ได้คิดด้วยว่า เงินเราอาจไม่ได้เยอะ แต่เราทำงานแล้วได้ความรู้ และความรู้มันมีมูลค่านะ”

เลือกเดินในเส้นทาง Blue Ocean

หลังจากช่วยงานคุณพ่อได้สักพัก คุณกิฟท์ได้รับโจทย์ใหม่อีกครั้งในการทำร้านทองแบบขายส่ง เธอยอมรับว่าเป็นความท้าทายใหม่อีกเช่นกัน เพราะเธอไม่เคยทำร้านทองขายส่งมาก่อน เธอจึงต้องทำการบ้านอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรให้มีฐานลูกค้าในตลาดนี้ และพบว่า กลยุทธ์ Blue Ocean หรือการสร้างตลาดใหม่ จะช่วยให้ทำร้านของเธอแตกต่างและนำหน้าคู่แข่งได้ 

“เราต้องเปิดร้านขายส่งทองรูปพรรณ 96.5 โดยสินค้า 80% มาจากโรงงาน ความยากคือเราไม่เคยทำร้านส่งมาก่อน เราต้องทำเองทั้งหมด เราต้องสร้างฐานลูกค้าใหม่ ต้องคิดกลยุทธ์ใหม่ สิ่งที่คุณพ่อสอนเสมอคือ ให้เลือกเดินในทาง Blue Ocean เราเป็นหน้าใหม่ตอนเริ่มทำโรงงานแรกๆ ถ้าจะทำทองตัน การผลิตเราสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว เราเลยเลือกมาทำทองโปร่งเพราะยังไม่ค่อยมีคนทำ เป็นจุดที่เราสามารถก้าวนำไปก่อนคนอื่น 

“เราคิดทำแนวแฟชั่นขึ้นมา ทำ beads ทำ charm คนก็อยากได้ ข้อได้เปรียบคือเราคุยกับโรงงานได้เลยว่าเราอยากได้แบบไหน พอเรามาเปิดทองแฟชั่นทำให้รู้ว่า มันยังมีความต้องการของตลาดอยู่ หน้าร้านพอรู้ความต้องการของตลาดก็สามารถสะท้อนความต้องการให้โรงงานได้ โรงงานก็พัฒนาได้ดีขึ้น” 

สร้างภาพจำให้ลูกค้า ‘นึกถึงทอง นึกถึง Shining Gold’

นอกจากทำร้านขายส่งทองแล้ว คุณกิฟท์มีความตั้งใจให้ Shining Gold เป็นร้านทองที่มีสินค้าทองครบครัน งานทองแฟชั่นดึงดูดให้ลูกค้ามาดูสินค้าในร้าน และสินค้าในร้านจะช่วยตอบโจทย์ว่า มาร้าน Shining Gold แล้วได้ของครบตามต้องการ คุณกิฟท์เน้นสร้างการรับรู้ของลูกค้าผ่านการทำการตลาดออนไลน์ทุกช่องทาง กระตุ้นให้ลูกค้ารับรู้เป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น 

“พอเราลงรูปไป คนเอารูปไปตามหากัน ร้านทองปลีกก็จะมาสั่งกับเรา แนวคิดของเราคือ อยากให้ลูกค้าเดินเข้าไปที่ร้านทองร้านไหนก็ได้ แล้วบอกว่า อยากซื้อทองของ Shining Gold เพราะเราคิดว่า เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว ถ้าเราไปเปิดร้านทั่วประเทศ เหมือนเราไปแย่งลูกค้าตัวเอง เรามาจากร้านส่ง มาจากโรงงาน ลูกค้าเป็นคนช่วยเราในการหยิบแล้วไปกระจายต่อ เราเป็นพันธมิตรกับลูกค้าเราดีกว่า”  

ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่และพัฒนาอยู่เสมอ

คุณกิฟท์มีโอกาสทำงานมาแล้วทุกหน้าที่ แต่เธอบอกว่า เธอไม่ได้ชอบงานใดงานหนึ่งเป็นพิเศษ แต่หลักๆ แล้ว เธอชอบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เป็นสิ่งที่ทำให้เธอยังรู้สึกสนุกและท้าทายอยู่เสมอเมื่อได้รับโจทย์ใหม่ๆ 

“เราไม่ได้ชอบงานไหนเป็นพิเศษ แต่ชอบที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอด ข้อดีคือ เวลาเราจะเข้ามาทำธุรกิจ เราควรไปรู้แต่ละจุดที่เราทำ เรากล้าถามพนักงานถ้าเราทำไม่ได้ ทำให้เราได้เรียนรู้หน้างานไปจนถึงระบบบริหารเลย อาจเป็นเพราะหลายอย่างเพิ่งเริ่มต้นด้วย ที่คุณพ่อให้มาทำที่บ้านเลยตั้งแต่เรียนจบถือเป็นโอกาสที่ดีมากเพราะเราได้เริ่มต้นไปกับเขาเลย”

แยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างงานและครอบครัว

เมื่อเกิดความขัดแย้งในการทำงาน คุณกิฟท์เล่าว่า ครอบครัวของเธอสามารถแยกความสัมพันธ์ในบ้านและเรื่องงานออกจากกันได้ชัดเจน 

“ส่วนใหญ่เราจะฟังว่าเขามองอย่างไร เรามองอย่างไร แล้วหาจุดตรงกลางร่วมกัน ให้อยู่ร่วมกันได้ เวลาเราคุยเรื่องงานกันไม่ลงตัว บางทีก็ทิ้งไว้ก่อน ไว้ค่อยมาคุยกันใหม่ มาเถียงกันใหม่ แต่จบที่เรื่องงาน แม้เราจะคุยเรื่องงานในเวลาส่วนตัว แต่เราไม่เอามาปนกันในด้านความเป็นครอบครัว เรายังเป็นสมาชิกที่รักกันเหมือนเดิม”

ความท้าทายของการทำที่บ้านคือการต้องแก้โจทย์อยู่เสมอ

“กิฟท์ไม่ได้รู้สึกว่ามันยาก แต่รู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบในงานของเรา เรื่องยากคือเราก็จะเรียนรู้ไปเองอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าทุกปัญหาไม่ใช่ปัญหา แต่คือความท้าทายว่า ทำอย่างไรให้มันไปถึงเป้าหมาย ทุกอย่างมันคือโจทย์ให้เราแก้ ไม่ได้มองว่าฉันผิดแล้วท้อ จะดูว่าที่ผิด เราจะแก้อย่างไรมากกว่า” 

มีกฎกติกาที่ชัดเจนในการทำงาน

ครอบครัวคุณกิฟท์เลือกใช้กติกาที่ตกลงและรับทราบร่วมกันในการทำงาน เพื่อลดปัญหาบทบาทหน้าที่ภายในธุรกิจ 

“สวัสดิการต่างๆ เราตั้งเป็นระเบียบบริษัทหมดเลย มีลำดับการเลื่อนตำแหน่งเหมือนพนักงานทั่วไป เรื่องการเบิกค่าใช้จ่ายเราตั้งเป็นกฎเลยจะได้ไม่มีปัญหาระหว่างกัน”

ฝากทายาท ‘ทำที่บ้าน’

“กิฟท์อยากฝากเรื่องการทำงาน ต้องมีการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบ มีความอดทน ความมีวินัยก็เป็นเรื่องสำคัญ และต้องมีความถ่อมตนด้วย ต้องให้เกียรติทุกคนเหมือนกัน เรียนรู้ไปด้วยกัน ช่วยกันผลักดันพัฒนาองค์กรให้ยั่งยืนสืบเนื่องต่อไป”