
ทายาทโรงงานลูกชิ้น ส.เฉลิมรัตน์ ผู้ค้นพบ ‘สิ่งที่ชอบ’ ในหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบได้อย่างลงตัว
เมื่อความฝันของคุณไม่ตรงกับความคาดหวังของครอบครัว คุณจะเลือกอย่างไร? สำหรับ "คุณเนย" ทายาทโรงงานลูกชิ้น ส.เฉลิมรัตน์ ที่ปัจจุบันกำลังโด่งดังใน TikTok ด้วยแฮชแท็ก #น้องเนยลูกชิ้น ก็เคยเผชิญกับคำถามนี้ เพราะแม้จะเติบโตมากับลูกชิ้นที่บ้านตั้งแต่เด็ก แต่หัวใจของเธอกลับโหยหาสีสันและความคิดสร้างสรรค์ที่อยู่ในโลกแห่งศิลปะ จนเคยคิดจะหันหลังให้กับการสานต่อธุรกิจของที่บ้าน
ในวันที่เธอต้องเลือกระหว่าง 'สิ่งที่อยากทำ' กับ 'สิ่งที่ต้องทำ' แต่แล้วเธอก็ค้นพบว่า บางทีคำตอบไม่ได้อยู่ที่การเลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่อยู่ที่การหาทางผสานสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน แม้เส้นทางชีวิตที่ต้องมาดูแลธุรกิจครอบครัวจะเริ่มต้นด้วยความลังเลและคำถามในใจ แต่สุดท้ายเธอก็ค่อยๆ พบวิธีใส่ความชอบและความถนัดลงไปในงาน จนหน้าที่ที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ กลายเป็นพื้นที่ที่เธอได้เติมเต็มความสุขและตัวตนของตัวเองอย่างพอดี




d
จุดเริ่มต้นโรงงานลูกชิ้น ส.เฉลิมรัตน์
กว่าจะมาเป็นโรงงานลูกชิ้น ส.เฉลิมรัตน์ ที่ทุกคนรู้จักอย่างทุกวันนี้ จุดเริ่มต้นมาจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก คุณพ่อของคุณเนยเติบโตมาในหมู่บ้านวังวน หมู่บ้านที่ขึ้นชื่อในวงการทำลูกชิ้น เพราะผลิตลูกชิ้นดังๆ ส่งขายทั่วประเทศ คุณพ่อของคุณเนยได้สูตรการทำลูกชิ้นมาจากคนในหมู่บ้าน จึงมาพัฒนาสูตรกับพี่ชาย และเริ่มทำลูกชิ้นขายอยู่ในครัวเล็กๆ หลังบ้าน ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาเติบโตเป็นโรงงานที่มีระบบ มีกำลังการผลิตที่เป็นมาตรฐานมากขึ้น
“เหมือนเนยเกิดมาบนกองลูกชิ้น เกิดมาก็เห็นว่าเขาทำลูกชิ้นหลังบ้าน เราไปช่วยคุณพ่อคุณแม่กรอกลูกชิ้น แพ็กสินค้า มัดถุง เราไม่ค่อยได้เห็นหน้าพ่อแม่เพราะเขาทำงานตลอดเวลา พ่อไปส่งของ แม่ไปออกตลาด ถ้าอยากเจอพ่อแม่ก็ต้องไปทำงานกับพ่อแม่ด้วย จันทร์ถึงศุกร์เราไปเรียน เสาร์อาทิตย์มาช่วยงานพ่อแม่ เพราะจะได้อยู่ด้วยกัน”

อยากทำในสิ่งที่ชอบ แต่ก็อยากรับผิดชอบหน้าที่ด้วยเช่นกัน
แม้คุณเนยจะสนใจด้านศิลปะมาตั้งแต่เด็ก แต่การเป็นลูกคนโตและเป็นทายาทโรงงานลูกชิ้น ทำให้รู้สึกถึงภาระหน้าที่และความรับผิดชอบต่อครอบครัวและพนักงาน แม้พ่อแม่ไม่เคยพูดหรือกดดัน แต่ค่อยๆ หล่อหลอมให้คุ้นชินกับงาน ตั้งแต่ช่วยยกของ ส่งของ ไปจนถึงเรียนรู้ธุรกิจทีละน้อย จนเธอตกตะกอนได้ว่า พ่อแม่สร้างธุรกิจนี้ขึ้นมากับมือ และเธอมีหน้าที่สานต่อไป
“เราโตมาพร้อมกับคำว่า ลูกเจ้าของโรงงาน และเป็นลูกคนโต มันเหมือนพ่วงความรู้สึกรับผิดชอบมาด้วย คิดว่าถ้าพ่อแม่ไม่อยู่ ใครจะดูแลครอบครัว ดูแลพนักงาน เลยรู้สึกว่า ต้องเก็บตรงนี้ไว้ด้วยเหมือนกัน”
ปรับทัศนคติที่ใจเราให้อยู่กับงานที่บ้านได้
หลังจบมัธยม คุณเนยเลือกเรียนออกแบบดีไซน์เพื่อหวังนำความรู้ด้านการตลาดมาพัฒนาธุรกิจครอบครัว แม้ช่วงแรกพยายามทำงานประจำควบคู่กับการช่วยที่บ้าน แต่พบว่าไม่สามารถเต็มที่กับทั้งสองงานได้ จึงตัดสินใจกลับมาสานต่อธุรกิจแทนพ่อแม่ที่อายุมากขึ้น
แม้ในตอนแรกยังรู้สึกสับสน เหมือนต้องทิ้งสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่เมื่อได้พูดคุยกับครอบครัวก็พบว่า มีช่องทางให้ได้ทำสิ่งที่รัก คืองานด้านการตลาดซึ่งเข้ากับธุรกิจได้ จึงปรับทัศนคติและเริ่มสนุกกับงานมากขึ้น
จากเดิมที่โรงงานขายสินค้าแบบดั้งเดิม ไม่มีการทำแบรนด์หรือการตลาด จนปัจจุบันได้ต่อยอดสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ขยายจากการขายตรง (B2C) ในตลาด สู่การจำหน่ายแบบขายส่ง (B2B) ผ่านดีลเลอร์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทำให้ธุรกิจเติบโตและเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางกว่าเดิม
“ใจเราตอนนั้นก็งงๆ ว่าเหมือนทิ้งความฝันตัวเองหรือเปล่า พอมานั่งคุยกับพ่อแม่จริงๆ ก็พบว่า มันมีช่องว่างให้เราแทรกสิ่งที่ชอบลงไปได้นะ ถ้าชอบทำการตลาด ก็ลงมาทำตรงนี้ได้เลย พอเราปรับทัศนคติตัวเองแบบนี้ เราก็อยู่กับมันได้ เมื่อก่อนจะรู้สึกว่าเบื่อ ต้องไปโรงงานอีกแล้ว แต่พอได้มาทำสิ่งที่เราชอบ เรารู้สึกมีแรงขึ้นมาเลย สนุกกับมันมากขึ้น”

มองเห็นช่องทางที่ได้ใส่ความถนัดของตัวเองลงไป
หลังจากที่แอปพลิเคชัน TikTok เริ่มเป็นที่นิยมในประเทศไทยมากขึ้น คุณเนยก็มองเห็นโอกาสที่จะทำให้การตลาดมีบทบาทต่อธุรกิจมากขึ้น จึงตัดสินใจลองใช้แพลตฟอร์มนี้ขายสินค้าของที่บ้าน
ช่วงแรกเน้นถ่ายสินค้าขายอย่างเดียว แต่เมื่อเธอเริ่มถ่ายวิดีโอที่มีการพูดคุยกับลูกค้า ทำให้ผู้คนจำหน้าได้และเกิดการสร้าง Personal Branding ที่ผสานทั้งสินค้าและความเป็นตัวเองเข้าด้วยกัน การนำเสนอในรูปแบบที่เป็นกันเองมากขึ้นนี้ช่วยดึงดูดลูกค้าได้ดีกว่าการขายตรงอย่างเดียว แม้ตอนแรกพ่อแม่ยังไม่มั่นใจ แต่เมื่อมีลูกค้าตามมาซื้อเพราะเห็นเธอจาก TikTok ก็ทำให้ครอบครัวเริ่มยอมรับและสนับสนุนเต็มที่
“ตอนแรกพ่อแม่ก็เฉยๆ เขาไม่เห็นว่ามันจะสำเร็จได้อย่างไร เราก็ปล่อยไปนะ ไม่อธิบาย แต่ทำต่อไป สักวันคงมีอะไรกลับมาบ้าง จนมีลูกค้าเข้ามาที่ร้านถามแม่ว่า น้องเนยอยู่ไหม พอดีตามมาจาก TikTok พอแม่เห็นแบบนั้นก็เริ่มเห็นดีเห็นงามด้วย กลายเป็นสนับสนุนเต็มที่เลย”
หาจุดเด่นของตัวเองให้เจอ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้ธุรกิจ
“สิ่งที่ต้องทำการบ้านก่อน คือการหาจุดเด่นของสินค้าตัวเองให้เจอ ลูกค้าจะได้เห็นภาพลักษณ์ของเราเป็นแบบไหน เนยคิดว่า จุดเด่นของลูกชิ้นโรงงานส.เฉลิมรัตน์ คือเป็นลูกชิ้นที่มีรสสัมผัส รับประทานง่าย สนุก และได้สัมผัสที่อร่อย ส่วนการนำเสนอ เราเลือกแทรกลงไปกับเนื้อหาที่ลูกค้าอยากฟัง ไม่ขายของอย่างเดียว”
ประสบการณ์ Culture Shock ของคนต่างวัย
คุณเนยเล่าว่า การทำงานร่วมกับคนต่างวัยเป็นความท้าทายสำหรับเธอ ช่วงที่เพิ่งเรียนจบใหม่ เธอมีความมุ่งมั่นที่จะนำความรู้มาพัฒนาธุรกิจ จึงอยากปรับระบบโรงงานทั้งหมด ตั้งแต่การจัดการบุคคลไปจนถึงการใช้โปรแกรมใหม่ๆ แต่พ่อกลับมองว่า แนวคิดเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับบริบทจริงของธุรกิจ
ในตอนนั้นคุณเนยรู้สึกไม่เข้าใจและคิดว่าความเห็นของตนเองถูกมองข้าม จนกระทั่งได้ลงมือทำงานจริง จึงเรียนรู้ว่าแต่ละธุรกิจมีความเฉพาะตัว ไม่สามารถใช้รูปแบบเดียวกันได้ทั้งหมด เมื่อปรับมุมมองและเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ก็ทำให้เธอสนุกกับงานมากขึ้น และยอมรับว่าคำสอนของพ่อวันนั้นถูกต้องอย่างแท้จริง
“เหมือนคุยคนละภาษา ตอนนั้นเราไม่เข้าใจเขาเลย ก็เราเรียนมาแบบนี้ ก็คิดว่าถูกต้องแล้ว คิดว่าเขาไม่รับฟังเรามากกว่า แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากลองไปเรียนรู้งานจริงๆ ว่าในแต่ละธุรกิจมันไม่ได้มีรูปแบบเดียวกันหมด พอได้มาทำก็รู้สึกสนุกและเต็มที่กับมัน ส่วนที่พ่อพูดมาวันนั้น… ก็จริงค่ะ ถูกของเขาเลย”

ถอยคนละก้าว แต่เรายอมถอยก้าวใหญ่กว่าสักหน่อย
คุณเนยมองว่า การหาจุดสมดุลระหว่างความรู้ของทายาทและประสบการณ์เก๋าเกมของรุ่นก่อน คือการยอมถอยคนละก้าวเพื่อรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว ในเงื่อนไขว่า รุ่นใหม่อาจจะต้องยอมถอยก้าวใหญ่กว่าหน่อย เพราะการเปลี่ยนทัศนคติของผู้ใหญ่เป็นเรื่องยากกว่า
“เราเปลี่ยนผู้ใหญ่ไม่ได้ด้วยซ้ำ เรามีหน้าที่รับฟัง แต่ถอยออกมาก่อนนะ ไม่ใช่ฟังแล้วดื้อจะทำต่อ กว่าพ่อแม่จะยอมรับเนยได้ ก็ใช้เวลาเหมือนกัน เราค่อยๆ ให้เขาเห็นความสำเร็จของเราไปเรื่อยๆ มันง่ายกว่าไปอธิบาย จะได้ไม่ปะทะกับคนในครอบครัว”
อย่าทำแต่งานจนลืมดูแลความสัมพันธ์ในบ้าน
คุณเนยสังเกตว่า การทำงานที่บ้านของครอบครัวเธอนั้น เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวแทบจะเป็นเรื่องเดียวกัน บทสนทนาในชีวิตประจำวันกลายเป็นเรื่องงาน แต่การใช้เวลาร่วมกันแบบครอบครัวก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อรักษาความสัมพันธ์และความใกล้ชิดระหว่างกัน
“บ้านเนยจะมีสัก 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ที่ได้มานั่งกินข้าวเจอหน้ากัน เนยว่ามันดีกว่าการที่เราไม่ได้คุยกันเลย อย่าทำแต่งานจนลืมเรื่องความสัมพันธ์ภายในครอบครัวด้วย ต้องมีเวลาเป็นครอบครัวจริงๆ”

ฝากกำลังใจถึงทายาท
“เนยขอให้กำลังใจทายาททุกคนนะคะ เนยเข้าใจว่า ทายาทหลายคนอาจจะหัวรั้น อาจจะดื้อบ้าง แต่จริงๆ แล้ว เราก็อยากทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เพราะเรารักที่จะทำที่บ้านนี่แหละ แต่ลองให้เวลาอยู่กับมัน พยายามทำความเข้าใจกันในครอบครัว เราเป็นลูกเป็นหลาน เขารับฟังและพร้อมจะเข้าใจเราอยู่แล้ว แต่เราต้องให้เวลาเขาและตัวเราเองด้วย กว่าจะจูนกันมันต้องใช้เวลาค่ะ”