ทายาท ‘777 Hometel’ นครพนม กับการชุบชีวิตโรงแรมเก่าแก่ของครอบครัว สู่ ‘777 Bliss Hometel’ ที่มีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ทายาท ‘777 Hometel’ นครพนม กับการชุบชีวิตโรงแรมเก่าแก่ของครอบครัว สู่ ‘777 Bliss Hometel’ ที่มีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ทำที่บ้าน

“นครพนม” อาจไม่ใช่จังหวัดที่คนคุ้นเคยมากนัก แต่สำหรับ "คุณมินตรา แก้วดีวงษ์" ทายาทรุ่นสองของโรงแรมเก่าแก่อย่าง "777 Hometel" แล้ว นครพนมคือบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำและบทเรียนทางธุรกิจ เธอเติบโตมาพร้อมกับการเห็นพ่อแม่ทำธุรกิจที่หลากหลาย จนกระทั่งสร้างโรงแรมกลางเมืองแห่งนี้ ด้วยทำเลอันโดดเด่น ชื่อของโรงแรม ‘ตองเจ็ด’ กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของผู้มาเยือน ทว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่าน ความนิยมดังกล่าวก็ค่อยๆ ลดลงพร้อมการเติบโตของโรงแรมใหม่ๆ ในจังหวัด

หลังเรียนจบจากกรุงเทพฯ คุณมินตราจึงเลือกกลับมาต่อยอดธุรกิจครอบครัว พร้อมความตั้งใจอันแรงกล้า คืออยากเห็นโรงแรมที่เคยคึกคักในวัยเด็กกลับมาโลดแล่นดังเดิม จึงเป็นที่มาของการรีโนเวตโรงแรมเก่าให้มีชีวิตชีวิตขึ้นอีกครั้ง ภายใต้ชื่อ “777 Bliss Hometel” แต่ระหว่างทางก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อมุมมองของคนรุ่นใหม่แบบเธอ นั้นสวนทางกับพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและบริหารโรงแรมมายาวนาน

‘ทำที่บ้าน’ ชวนทุกคนมาอ่านเรื่องราวของหญิงสาวที่พยายามปรับปรุงธุรกิจ ไปพร้อมการรักษาจุดสมดุลระหว่างความคิดสองรุ่น ที่จะทำให้เราเข้าใจว่า การสานต่อธุรกิจครอบครัว คือการสานต่อความรักและความหวังไปพร้อมกัน

จากร้านเทปซีดีสู่โรงแรมกลางเมือง


คุณมินตรา แก้วดีวงษ์ เติบโตมาท่ามกลางธุรกิจหลากหลายประเภทที่พ่อแม่ร่วมกันก่อร่างขึ้น ตั้งแต่ร้านขายเทปซีดี มาเป็นโทรศัพท์มือถือ จนกระทั่งก้าวสู่ธุรกิจโรงแรม เธอเรียนจบสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี แต่เลือกกลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัวที่นครพนม ด้วยความเชื่อมั่นในสายเลือดนักธุรกิจที่ได้รับการหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก

"เราเห็นพ่อแม่ทำธุรกิจตั้งแต่เกิด โตมาในสภาพแวดล้อมที่เห็นความเป็นไปได้ของธุรกิจได้ชัดเจน เห็นพ่อแม่ขายนู่นนี่และปรับตัวตามสถานการณ์ได้เก่งมาก เริ่มจากขายเทปซีดีในสมัยที่คนฮิตกัน จากนั้นปรับมาสู่การขายโทรศัพท์ ขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์"

"พอนครพนมเริ่มเน้นการท่องเที่ยวมากขึ้น พ่อแม่ก็เห็นโอกาสว่ายังไม่มีโรงแรมในเมืองที่เดินทางสะดวก เพราะโรงแรมส่วนใหญ่อยู่ริมแม่น้ำโขง ประกอบกับเรามีที่ดินในทำเลที่เหมาะสมพอดี เป็นพื้นที่ในเมืองที่มีจุดแข็งคือนักท่องเที่ยวสามารถเดินไปเที่ยวหรือปั่นจักรยานไปเที่ยวได้สะดวก เลยเลือกจะทำโรงแรมขึ้นมา ซึ่งการโตมาในครอบครัวทำธุรกิจนี้เอง ที่ทำให้เราได้ทักษะการหาช่องทางทำธุรกิจแบบนี้มาโดยไม่รู้ตัว"

เมื่อโรงแรมในความทรงจำเริ่มซบเซา


แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาพความคึกคักของโรงแรมที่เคยเต็มไปด้วยผู้มาเยือนกลับค่อยๆ จางหาย สิ่งที่เหลือคือความทรงจำวัยเด็กที่สวยงาม กับความเป็นจริงที่โรงแรมกำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

"ในตอนเด็กๆ รู้สึกว่าโรงแรมเราเจ๋งมาก มันเท่มากในยุคนั้น เพื่อนที่มาจากกรุงเทพก็มาพักกับเรา เห็นโรงแรมเต็มตลอดเลย พอเวลาผ่านไป มันไม่ได้เห็นภาพแบบนั้นแล้ว รู้สึกว่าอาจมีคนมาพักบ้าง เพราะราคาถูก ตำแหน่งที่ตั้งดี แต่เหมือนสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังมันเปลี่ยนไปแล้ว มีโรงแรมใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก ต่อให้โรงแรมเรายังอยู่ในตำแหน่งที่ตั้งที่ดี แต่ภาพจำตอนเด็กๆ มันก็หายไปแล้ว ตอนเราเรียนอยู่ โรงแรมมันไม่ได้เก่ามาก คิดว่าพ่อแม่คงดูแลมาเรื่อยๆ แต่พอเรียนจบ เราเห็นว่ามันเก่ามาก เลยคิดว่าคงต้องชุบชีวิตมันแล้ว"

เพราะแตกต่าง จึงต้องหาจุดร่วมระหว่างคนสองรุ่น

เมื่อคุณมินตราตัดสินใจรีโนเวตโรงแรม ความเห็นที่แตกต่างระหว่างสองรุ่นก็เริ่มปรากฏชัด ในขณะที่พ่อแม่มองว่าการปรับปรุงให้ใหม่พอประมาณก็เพียงพอ แต่เธอกลับมองไปไกลกว่านั้น

"ตอนแรกที่คิดจะรีโนเวต พ่อแม่บอกว่า แค่ทำให้มันใหม่ขึ้น ไม่โทรมก็พอ ลูกค้าอยู่ได้ แต่เราไม่เห็นด้วยกับพ่อแม่ คิดว่ามันไม่พอ เราอยากพลิกโฉมให้ทันสมัยตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ ด้วยทำเลมันเหมาะกับวัยรุ่น แต่ลูกค้าเราช่วงหลังๆ คือวัยกลางคน วัยครอบครัวที่เลือกมาพักกับเราเพราะความสะดวกและราคาคุ้มค่า แต่วัยรุ่นปัจจุบันไม่ได้มองหาแค่ที่พัก แต่มองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วย เราเลยอยากดึงลูกค้ากลุ่มนี้มาพักกับเรา"

ถึงมุมมองจะต่างกัน แต่นี่กลับเป็นข้อดีที่ทำให้คนทั้งสองรุ่นได้หันหน้ากลับมาคุยกันมากขึ้น

"เราว่าการที่เรารับช่วงธุรกิจต่อจากพ่อแม่ มันดีตรงที่เหมือนผู้ใช้สองวัยได้มาคุยกันจริงๆ เห็นความต้องการของลูกค้าในวัยที่ต่างกัน ทำให้เรารอบคอบมากขึ้น และเราก็อยากจับกลุ่มทั้งวัยรุ่นและครอบครัวอยู่แล้ว เลยยิ่งต้องมาคุยกัน"

หลังจากพูดคุยกันอย่างจริงจัง ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะหาจุดร่วมระหว่างความต้องการรักษาฐานลูกค้าเดิม กับการดึงดูดลูกค้าใหม่ ผลลัพธ์คือการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้ทันสมัย แต่ยังคงมาตรฐานการบริการที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย

“777 Bliss Hometel” โฉมใหม่ที่ผสานความคิดของผู้บริหารสองวัย


หลังจากหาจุดร่วมกันได้ โรงแรม 777 ก็ใช้เวลาปิดปรับปรุงกว่าครึ่งปี ก่อนจะเปิดให้บริการอีกครั้งในรูปโฉมใหม่ ภายใต้ชื่อ "777 Bliss Hometel" ที่สะท้อนการผสมผสานความคิดของทั้งสองรุ่น


"ตอนแรกพ่อไม่อยากเปลี่ยนชื่อโรงแรมเลย เพราะคนรู้จักแล้ว มีฐานแล้ว ส่วนเราอยากเปลี่ยนชื่อใหม่เลย สุดท้ายเลยกลายเป็น '777 Bliss Hometel' เรา ไม่ใช้คำว่า Hotel เพราะอยากให้โรงแรมมีความรู้สึกเหมือนบ้าน” 


“ส่วนแนวคิดการออกแบบ เรามองว่า โรงแรมส่วนใหญ่ในนครพนมจะเน้นความมินิมัล เป็นไม้ๆ เรียบๆ เราเลยอยากหาอะไรแปลกใหม่ๆ ให้ดูเตะตา และเราเป็นคนชอบสีเยอะๆ อยู่แล้ว ตอนแบบร่าง ใช้สีเยอะกว่านี้อีก แต่พ่อแม่อยากให้มันดูเรียบร้อยขึ้นมาหน่อย เลยเพิ่มความเป็นไม้เข้าไป ใช้ไม้เป็นหลักแล้วเพิ่มลูกเล่นด้วยการหยอดสีเข้าไปเฉยๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่มองก็ดูว่ามันน่ารักดี"

"การฟัง" คือหัวใจในการทำงาน


คุณมินตราไม่ได้ปรับปรุงโรงแรมตามความคิดตัวเองฝ่ายเดียว แต่เลือกที่จะรับฟังเสียงจากทุกฝ่าย ทั้งลูกค้าเก่า ลูกค้าใหม่ และพนักงานที่ทำงานในโรงแรม


"เราอ่านความคิดเห็นทั้งจากลูกค้าและคุยกับพี่พนักงานด้วย เพราะการปรับปรุงโรงแรมไม่ใช่แค่เรื่องลูกค้าอย่างเดียว แต่มันคือการทำให้คนทำงานได้ทำงานสะดวกขึ้นด้วย เราคุยสรุปภาพรวมของโรงแรมกับพี่พนักงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้งานบริการและบรรยากาศของโรงแรมมันไปด้วยกัน มีความเป็นกันเองมากขึ้น เพราะลูกค้าต้องการประสบการณ์ที่แปลกใหม่ออกไป อย่างเช่น เมื่อลูกค้าเก่าบอกว่าอยากให้พื้นที่ห้องน้ำแยกโซนเปียกแห้ง เราก็นำมาปรับใช้ในการออกแบบห้องพัก ทำให้ทั้งลูกค้าเก่าและใหม่มีความพึงพอใจมากขึ้น”

ท้าทายข้อจำกัดของเมืองเล็ก ด้วยไอเดียใหม่


การทำโรงแรมในจังหวัดเมืองรองมีความท้าทายเฉพาะตัว โดยเฉพาะเรื่องฤดูท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นเพียงไม่กี่เดือน คุณมินตราจึงเลือกใช้กลยุทธ์หลากหลายเพื่อดึงดูดลูกค้าตลอดทั้งปี

"เราพยายามมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดเพื่อให้ลูกค้ามาพักซ้ำ ไม่ว่าจะแวะเป็นทางผ่าน มาทำงาน หรือมาเที่ยวก็ตาม เหมือนเราหวังแค่เรื่องท่องเที่ยวไม่ได้แล้ว ต้องคิดถึงด้านอื่นๆ ให้ตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลาย เช่น มีที่นั่งทำงานตรงล็อบบี้ การตั้งราคาให้คุ้มค่าเพื่อให้คนผ่านตาแวะมาพักด้วย” 

“งานอีกอย่างที่ทำคือ Social Media เราทำรีวิวแนะนำที่เที่ยว ร้านอาหารแบบคนพื้นที่จริงๆ เพราะคนยังไม่รู้เลยว่านครพนมมีที่เที่ยวอะไรบ้าง ก็เกื้อกูลกัน เราขายแค่โรงแรมไม่ได้ เราช่วยชุมชนด้วย และเราก็เพิ่มโอกาสการมองเห็นจากลูกค้าด้วย ผลตอบรับดี ลูกค้าใหม่เยอะขึ้น เป็นที่พูดถึงในวงกว้างมากขึ้นด้วย"

หนึ่งก้าวที่สำเร็จ เมื่อลูกค้าเก่ากลับมาพร้อมลูกค้าใหม่


ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเกินความคาดหมายของทุกฝ่าย โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ตอนแรกกังวลว่าการปรับเปลี่ยนจะทำให้สูญเสียฐานลูกค้าเดิม


"จากตอนแรกที่ความคิดเห็นไม่ตรงกัน พอพูดคุยหาตรงกลาง และโรงแรมเปิดให้บริการแล้วพบว่า ลูกค้าเก่าก็ยังกลับมาใช้บริการ และลูกค้าวัยรุ่นก็พาครอบครัวมาเที่ยวด้วย ทำให้พ่อแม่เห็นว่า ผู้ใช้งานมันเปลี่ยนไปจริงๆ ด้วยความที่เราคุยกันจนคิดว่ารอบคอบดีแล้ว พ่อแม่จึงมั่นใจประมาณหนึ่ง เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องพาลูกค้าเก่ากลับมาให้ได้ แค่เพิ่มจำนวนลูกค้าได้ก็พอใจแล้ว แต่พอมีลูกค้าเก่ากลับมาเพิ่มไปอีก เลยทำให้พ่อแม่มีความสุข เหนือความคาดหมาย"

บทเรียนสำคัญ กับมรดกที่มากกว่าแค่ธุรกิจ


จากประสบการณ์การสานต่อธุรกิจครอบครัว คุณมินตราได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญหลายประการ ทั้งจากพ่อแม่และจากการลงมือทำด้วยตัวเอง

บทเรียนแรกที่ได้จากพ่อแม่คือ การกล้าลงมือทำและทำอย่างรอบคอบ


"พ่อแม่ของเราเริ่มต้นทำธุรกิจแต่ละอย่างด้วยตนเองตั้งแต่ศูนย์ และลองผิดลองถูกมาตลอด ทำให้เปลี่ยนความคิดของเราว่า เราต้องพร้อมก่อนเราถึงเริ่มลงมือทำ แต่พ่อแม่ทำให้เห็นว่า ถ้าเราจะทำอะไร ให้เรากล้าลงมือทำและทำอย่างรอบคอบเท่านั้นพอ"


ส่วนอีกบทเรียน คือสิ่งที่เธอได้ตกผลึกจากการ ‘ทำที่บ้าน’


"ในฐานะทายาท การเข้าใจมุมมองของพ่อแม่และของตัวเราเอง และหาสมดุลของสิ่งที่พ่อแม่ทำไว้กับสิ่งที่เราจะเพิ่มเติมเข้าไป จะทำให้เราสามารถผลักดันธุรกิจได้ง่ายขึ้น มากกว่าการที่เราจะลุยเดี่ยวหรือเชื่อพ่อแม่แบบ 100% การจะสานต่อสิ่งที่พ่อแม่สร้างไว้ เราควรเอาจุดแข็งของเขามาพัฒนาแล้วปรับให้มันเข้ายุคสมัย ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต มันไม่ใช่แค่การรักษามรดกที่พ่อแม่ทำไว้ แต่คือการสานต่อในแบบที่เราเห็นภาพชัดกว่าเขา เหมือนเราเห็นโอกาสใหม่ๆ และมาปรับให้มันสมดุลกัน"