แบ่งหมวก แบ่งเวลา แบ่งกันสื่อสาร บทเรียนการทำงานกับครอบครัว จากทายาท ZEQUENZ

แบ่งหมวก แบ่งเวลา แบ่งกันสื่อสาร บทเรียนการทำงานกับครอบครัว จากทายาท ZEQUENZ

ทำที่บ้าน

สมุดที่เปิดกางม้วนงอได้ 360 องศา คือเอกลักษณ์ที่ทำให้แบรนด์ ZEQUENZ เป็นที่รักของคนรักสมุดทั่วโลก แต่เบื้องหลังนวัตกรรมที่ ‘ยืดหยุ่น’ เล่มนี้ คือเรื่องราวของครอบครัวที่ต้องเรียนรู้ที่จะ ‘ยืดหยุ่น’ ไม่แพ้กัน เพื่อสืบทอดธุรกิจให้คงอยู่

‘น้ำหวาน-ปาลีรัตน์ ดำรงค์กิจการ’ ทายาทรุ่นสอง เติบโตมาพร้อมกับความสำเร็จของคุณแม่ผู้ไม่เคยมีคำว่าเป็นไปไม่ได้ การกลับมาสานต่อกิจการที่บ้านจึงเปรียบเสมือนการก้าวเข้าสู่บททดสอบครั้งใหญ่ ที่เธอต้องเรียนรู้ว่าการทำงานกับคนในครอบครัวนั้นต้องอาศัยความยืดหยุ่นมากกว่ากฎเกณฑ์ที่ตายตัว

จากความขัดแย้งกับน้องสาวในออฟฟิศ สู่การปรับวิธีสื่อสารกับคนในครอบครัวที่ทำงานด้วยกัน เช่น คุณแม่ ในฐานะเจ้านาย คุณน้ำหวานค้นพบว่าหัวใจของการ "ทำที่บ้าน" คือการสร้างกติกาที่ชัดเจนในการ "แบ่ง" ทั้งหน้าที่ เวลา และการรับฟัง เพื่อให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ตึงเครียดจนเกินไป นี่คือเรื่องราวของการบริหารธุรกิจที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ เพื่อให้ทุกคนเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

จุดเริ่มต้นของธุรกิจครอบครัว

คุณน้ำหวานเล่าว่า ธุรกิจของที่บ้านเริ่มต้นจากการที่คุณแม่มีโอกาสทำงานด้านการจัดงานแสดงสินค้าต่างประเทศเป็นเวลาหลายปี ทำให้ได้เห็นความต้องการของตลาดใน Segmentation ต่างๆ จึงเกิดแพชชันอยากมีธุรกิจของตนเอง โดยเริ่มต้นจากการเปิดบริษัท Zenith Enterprise เป็น Trading เน้นซื้อมา ขายไป ส่งออกงานหัตถกรรมไทยรวมถึงผลิตภัณฑ์กระดาษสาซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าต่างประเทศเป็นอย่างมาก 

เมื่อตลาดเติบโต คุณแม่จึงเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจและเริ่มต้นเรียนรู้ระบบการผลิต จนกระทั่งลงทุนซื้อโรงงานกระดาษสา เพื่อที่จะพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ในแบบที่ตนเองต้องการ ภายใต้แนวคิด "วิญญาณไทย ดีไซน์สากล" ไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ ได้ผลตอบรับดีจากลูกค้าในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทำให้ผลิตภัณฑ์กระดาษสา ภายใต้ Zenith เป็นที่ยอมรับในตลาดสากล

"คุณแม่เรียนด้านสถิติตัวเลข แต่เป็นคนมีสไตล์เป็นของตัวเอง ชอบงานออกแบบ งานศิลปะ งานฝีมือ ตั้งแต่เด็กเรารู้ว่าแม่ลงทุนและให้ค่ากับงานดีไซน์ พอได้ทำโรงงานกระดาษสาของตนเอง ก็ตอบโจทย์ความสนใจในงานศิลปะของคุณแม่ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าต่างชาติที่ชื่นชอบงานคราฟ ซึ่งแต่ละประเทศก็มีรสนิยมที่แตกต่างกัน การผลิตขายขณะนั้นจึงเป็นการออกแบบนำเสนอให้เหมาะกับแต่ละประเทศ เป็นแบบ ODM (Own Design Manufacturing) โดยยังไม่ได้ทำแบรนด์สินค้าเป็นของตนเอง“

จาก Zenith สู่ ZEQUENZ 

“เราใช้ชื่อบริษัท Zenith Enterprise ตอนที่เราทำโรงงานรับผลิตสินค้าอย่างเดียว ทำไปสักพักคุณแม่มองว่า มันจะไม่ยั่งยืน และคิดว่าเราควรจะมีแบรนด์ของตัวเองได้แล้ว ปัจจัยสำคัญอีกอย่าง คือแม่อยากทำสมุดขึ้นมาเอง เพราะใช้เล่มไหนก็ไม่ถูกใจสักที เลยไปคิดค้นหาวิธี ทำวิจัยหาข้อมูลอย่างจริงจังจนได้แบบที่ตอบโจทย์ ต้อง Minimal ใช้งานได้ดี เปิดกางได้สุดแล้วสมุดไม่ฉีกขาด เหมาะกับคนถนัดเขียนมือซ้ายและมือขวา และกระดาษต้องมีคุณภาพ สมุดสันโค้งแบรนด์เราเข้าเล่มด้วยมือ 100% ทุกเล่มเจียนมุมขอบให้สวยเนียนเสมอกัน แม่หาข้อมูลและทดลองอยู่เป็นปีก่อนจะปล่อยแบรนด์ ZEQUENZ ออกมา ที่ใช้ชื่อนี้เพราะมาจากคำว่า Sequence ที่หมายถึง สเต็ปต่อไป หรือความต่อเนื่อง แต่เลือกสะกดด้วยตัว Z เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อบริษัท Zenith ค่ะ” 

สร้างการยอมรับระดับโลกผ่าน “ความสม่ำเสมอ”

การมีแบรนด์เพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ ZEQUENZ ประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน สิ่งที่ทำให้แบรนด์สมุดจากเมืองไทยสามารถไปยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับแบรนด์ระดับโลกได้ คือ "ความสม่ำเสมอ" ที่คุณแม่ทุ่มเทมาตลอด 30 กว่าปี

“กว่าจะเป็นแบรนด์ทุกวันนี้มันยากมาก เราไปออกงานแฟร์ต่างประเทศเกิน 30 ปี ไม่ใช่ไปปุ๊บ เขาจะยอมรับเราเลย เรื่องการดูถูก การถูกตั้งคำถาม เจออยู่แล้ว คีย์เวิร์ดคือ consistency ไม่ว่าจะกี่ปีๆ เรานำสินค้าไปแสดงที่งานเขามาตลอด จนมาช่วงหลังๆ มันเริ่มออกดอกออกผล ลูกค้าเริ่มทักว่า แบรนด์อยู่มานานมากเลยเนอะ อยากรู้จักจัง”

“ตอนแม่ไปออกงานแฟร์ในนามของแบรนด์ ZEQUENZ ตอนแรกเราได้อยู่ในโซนที่บริษัทส่วนใหญ่เป็นโรงงาน ไม่ใช่โซนแบรนด์สินค้าที่ลูกค้าจะเดินเยอะกว่า แต่แม่ไปฝ่าฟันมาจนทุกวันนี้เป็นแบรนด์จากประเทศไทยไม่กี่แบรนด์ที่ได้อยู่ในโซนแสดงสินค้าแบรนด์ ลูกค้าเริ่มจำเราได้ ค่อยๆ ยอมรับเรา ความสม่ำเสมอเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เรายังอยู่ในวงการนี้ได้นะ ยิ่งไปโซนยุโรป เขาให้ความสำคัญกับธุรกิจครอบครัวมาก เพราะเขารู้สึกว่ามันยั่งยืน น่าเชื่อถือ น่าภูมิใจ อยากทำงานด้วยไปจนแก่ เราเห็นว่ามันยังมีอะไรดีๆ อีกเยอะ ต้องให้เวลากับมัน บางอย่างเราต้องพิสูจน์ด้วยระยะเวลาค่ะ”

 

เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจของที่บ้าน

ความสม่ำเสมอที่คุณแม่ทุ่มเทมา 30 กว่าปีไม่ได้เป็นแค่กลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่มันกลายเป็นบทเรียนชีวิตที่คุณน้ำหวานได้เห็นและซึมซับมาตั้งแต่วัยเด็ก เธอเติบโตมาพร้อมๆ กับเกือบทุกทริปงานแฟร์ ทุกการต่อสู้ และทุกก้าวเดินของแม่ จนเธอไม่ได้แค่เป็นผู้สังเกตการณ์ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางนั้นไปโดยไม่รู้ตัว

“หวานทันทุกตอนนะ จำได้ว่าแม่ไปหาลูกค้าที่เมืองนอกบ่อยมาก บางครั้งถ้าปิดเทอมเราก็ได้ไปด้วย ที่จำได้คือทริปไปเยอรมนี ไปงาน Paper World เราช่วยแม่รับออร์เดอร์ ตอนนั้นอยู่ประถม พูดอังกฤษยังไม่เก่ง ใช้วิธีเอาของที่ลูกค้าสนใจมากองวางรวมกัน แล้วเอานามบัตรลูกค้ามาวางคู่กับสินค้าแล้วถ่ายรูป แม่ชมว่าเรารับบรีฟได้ค่อนข้างละเอียด ตอนนั้นรู้สึกภูมิใจนะที่ได้ช่วยแม่ขายของได้ ตอนที่อยู่ไทย นอกจากเพื่อนเล่นที่โรงเรียน ก็มีพี่ๆ ที่ออฟฟิศนี่แหละเป็นเพื่อน เราคอยไปช่วยเขาทำงานเล็กๆ น้อยๆ ติดสติกเกอร์ พับกระดาษ ช่วยทำอะไรได้ก็ช่วย รู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งค่ะ” 

ครอบครัวให้อิสระ แต่เลือกเส้นทางที่รู้สึกผูกพัน

คุณน้ำหวานบอกว่า ครอบครัวของเธอค่อนข้างให้อิสระในการเลือกเส้นทางของตนเอง ทั้งการเรียนและการทำงาน แต่เนื่องจากคุณน้ำหวานเติบโตและผูกพันกับคุณแม่ค่อนข้างมาก เธอจึงซึมซับความชอบด้านศิลปะเหมือนคุณแม่ไปโดยไม่รู้ตัว 

“หวานเลือกเรียนแฟชันดีไซน์ เพราะรู้สึกเราอิน เราซึมซับมา พวกงานดีไซน์ ชอบของสวยๆ งามๆ น่าจะได้มาจากคุณแม่เต็มๆ เราชอบแต่งตัว ชอบวาดรูปตุ๊กตา วาดเสื้อผ้าให้ตุ๊กตา ทำตุ๊กตากระดาษ โตขึ้นหน่อยเริ่มไปซื้อผ้ากับแม่ ตัดเสื้อผ้าให้ตุ๊กตาบาร์บี้ ตัดเองเย็บเองกับแม่ แต่พอจบมาไม่ได้ทำงานสายแฟชั่นโดยตรง เพราะสนใจงานด้าน Management และ Marketing มากกว่า” 

ออกไปเรียนรู้ระบบจากธุรกิจใหญ่ก่อนกลับมา ‘ทำที่บ้าน’

เมื่อเรียนจบ คุณน้ำหวานไม่ได้กลับมาสานต่อธุรกิจที่บ้านทันที แต่เธอมีโอกาสได้ลองทำงานกับบริษัทขนาดใหญ่เป็นระยะเวลากว่า 7 ปี จนรู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องกลับมาทำธุรกิจของที่บ้านแล้ว 

“เราตัดสินใจเองที่จะกลับมาช่วย ก่อนหน้านั้นน้องสาวช่วยทำอยู่ เราคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว เหตุผลแรกคือ ถ้าไม่ใช่เราแล้วใครจะเป็นคนทำ เหตุผลที่สองคือ เรากลับมาค่อยๆ ทำ ค่อยๆ เรียนรู้ ยังล้มลุกคลุกคลานได้ในตอนที่พ่อแม่ยังมีแรงให้คำแนะนำเราอยู่ และเหตุผลที่สาม เรารู้สึกรักธุรกิจครอบครัวที่ทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีแบบนี้ได้ มันผูกพันเหมือนกันนะ” 

“พอกลับมาทำเองไม่เหมือนที่คิด เพราะตอนทำบริษัทใหญ่ เขามีหลายแผนก เราทำแค่ส่วนของเราแล้วส่งต่อ แต่พอทำที่บ้าน หลายอย่างต้องทำเอง มันไม่รู้จะส่งให้ใคร ต้องทำเอง ปรับตัวเยอะมาก บ่นบ่อยมาก แม่สอนว่า เราต้องใส่หมวกให้ถูกใบ ปรับทัศนคติตัวเองก่อน ตอนนี้เราเป็นเจ้าของแล้วนะ ต้องรับผิดชอบสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง” 

ทำงานกับที่บ้านแบบเรียนรู้ด้วยตัวเอง

คุณน้ำหวานเล่าว่า รูปแบบการทำงานของที่บ้าน คือการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีใครมาบอกว่าต้องทำอะไร ทำแบบไหน เธอต้องลงมือทำเอง ค่อยๆ ปรับและหาจุดพัฒนาต่อยอดด้วยตัวเอง 

“แม่ไม่เคยมานั่งบอกเลยว่าต้องทำอะไร ต้องหาทำเอง ตอนแรกก็งง สักพักเริ่มจับจุดได้ ก็ดูว่าเราจะมาพัฒนาตรงไหน เริ่มจากสิ่งที่เราถนัดก่อน คืองานออนไลน์ เอาสินค้าเข้าแอปพลิเคชันต่างๆ เริ่มจากสิ่งที่เราถนัดก่อน จะได้เจอชัยชนะเล็กๆ ว่าเราทำได้ เรื่องยากๆ เราก็ค่อยๆ ทำไปค่ะ”

‘แบ่งหมวกให้ชัดเจน’ เทคนิคที่พูดง่ายแต่ทำยาก

แม้คุณแม่ของคุณน้ำหวานจะแนะนำเทคนิคในการทำงานว่าต้องใส่หมวกให้ถูกใบ ให้เหมาะกับหน้างาน แต่เธอยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการจะแบ่งหมวกแต่ละใบให้แยกกันอย่างชัดเจน 

“ยากมากเลย เรื่องหมวกน่ะ แม่มีหมวกแม่ หมวกเจ้านาย น้องมีหมวกน้องสาว หมวกเพื่อนร่วมงาน ส่วนเรามีหมวกลูกสาว หมวกหัวหน้า และหมวกลูกน้องแม่ จริงๆ มันไม่มีอะไรชัดเจนสักอย่าง แต่ต้องพยายามทำให้มันชัดเจน ให้เข้ากับคนเหล่านี้ให้ได้ เราต้องไม่ทำให้ลูกน้องรู้สึกว่า ครอบครัวมีปัญหากันเอง เราจึงต้องเคลียร์กันเองให้จบก่อน เรื่องการแบ่งหมวกให้ชัดเจนเนี่ย พูดง่ายนะ แต่สับสนอยู่เหมือนกัน”  

ตั้งกติกาเพื่อลดการกระทบกระทั่งกับคนในบ้าน

คุณน้ำหวานทำงานที่ออฟฟิศที่เดียวกับน้องสาว ส่วนออฟฟิศของคุณแม่แยกออกไปอีกสาขาหนึ่ง จึงทำให้คุณน้ำหวานทำงานใกล้ชิดกับน้องสาว และแน่นอนว่า มีเรื่องที่คิดเห็นไม่ตรงกันอยู่บ่อยครั้ง จนทั้งสองคนเลือกที่จะตั้งกติกาว่า ช่วงเวลาไหนที่คุยงานได้และช่วงเวลาไหนที่ห้ามคุยเรื่องงาน เพื่อช่วยให้การทำงานมีขอบเขตและไม่กระทบความสัมพันธ์ภายในครอบครัว 

“เราทำงานที่เดียวกับน้อง ทะเลาะกันตลอดเวลา เราสนิทกันมาก แต่คำว่าสนิทกัน กับทำงานด้วยกัน มันไปด้วยกันได้ยาก เราเลยมาตั้งกติการ่วมกันว่า ช่วงไหนคุยงานกันได้ ช่วงไหนไม่คุย ไม่งั้นมันจะคุยเรื่องงานกันตลอดเวลา ถ้าอยู่ออฟฟิศ เราคุยงานกัน 100% เวลาส่วนตัวที่บ้าน อาจต้องกำหนดกติกา เช่น คุยงานตอนนั่งรถมาทำงานนะ ช่วงเช้าไม่ให้พูดเรื่องงานเลย ให้ทำอย่างอื่น พอขึ้นรถค่อยคุยงานกัน มีอะไรจดไว้ก่อน ถ้าเราเริ่มต้นวันได้ดี ทั้งวันก็จะไปได้ดี”

Passion ที่ซึมซับมาเป็นตัวของตัวเอง

คุณน้ำหวานบอกว่า เธอมองคุณแม่เป็นไอดอลในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวที่มีความเต็มที่กับทุกอย่างแบบ “ไม่มีคำว่าไม่ได้” ทำให้เธอซึมซับบุคลิกลักษณะเหล่านี้ติดตัวมาด้วย แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด 100% ก็ตาม 

“คุณแม่เป๊ะมาก ไม่มีอะไรหลุดเลย คิดคำนวณเก่ง ดีไซน์ก็รู้เยอะ งานผลิตก็เป๊ะอีก แม่เป็นเหมือนต้นแบบของหวาน ไม่เคยมีคำว่าไม่ได้ แม่ทำทุกอย่างได้ดีมาก เราเติบโตมากับตัวตนและแพชชันของเขา เราก็ซึมซับมาบ้าง มีอะไรบางอย่างของเขาอยู่ในตัวเรา แต่ในรูปแบบของเราเอง เช่น คุณแม่เป็นคนใส่ใจรายละเอียดในทุกขั้นตอน ไม่เคยปล่อยผ่าน เราก็ใส่ใจรายละเอียดเหมือนกัน แต่ปล่อยผ่านบ้าง มีเวลาพักบ้าง ต่างกับคุณแม่ที่ไม่พักเลย ทำงานตลอดเวลาเหมือนอยู่ในเส้นเลือดของเขาเลย แต่เราพยายามแบ่งเวลาบ้าง เราอยากใช้ชีวิตบ้าง ก็จะออกแบบชีวิตให้เหมาะกับตัวเอง” 

บทเรียนส่งต่อทายาท ‘ทำที่บ้าน’

ข้อแรก แบ่งหมวกให้ชัดเจน พยายามทำให้ได้ตอนมีสติ แม้จะยากมาก

ข้อสอง แบ่งเวลาให้เป็น เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องพัก ต้องไม่รู้สึกผิดที่เราพัก การพักผ่อนเป็นหนึ่งในหน้าที่

ข้อสาม แบ่งกันพูดแบ่งกันฟัง การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ ​เราต้องตั้งใจพูดและตั้งใจฟัง หวานชอบพูดแรงกับคนที่บ้าน หวานต้องฝึกบอกเจตนาของหวานจริงๆ โดยไม่ใส่อารมณ์และต้องฝึกฟังให้เก่ง ฟังว่าเขาต้องการอะไร สรุปคือ แบ่งหมวก แบ่งเวลา แบ่งกันพูดแบ่งกันฟัง เราทำธุรกิจกับครอบครัว หวานว่าเราต้องแบ่งปันกัน”